ใครที่มองหาแหล่งท่องเที่ยวแนวธรรมชาติผสมผสานวิถีชีวิตชุมชน ไม่ไกลกรุง ไปเช้าเย็นกลับได้แบบ one day trip แล้วละก็ “นายรอบรู้” ขอชวนเที่ยวชุมชน OTOP นวัตวิถี “บ้านศาลาดิน” ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐมกัน มาสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนริมสายน้ำคลองมหาสวัสดิ์ พร้อมนั่งเรือตะลุยกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน ภายใต้แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แค่ฟังก็ตื่นเต้นกันแล้วใช่ไหมล่ะ! 1. ชิมข้าวตังรสเด็ด ณ บ้านข้าวตัง ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เพียง 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงชุมชนบ้านศาลาดิน จ.นครปฐมกันแล้ว ที่นี่เป็นชุมชนที่ติดกับลำคลองมหาสวัสดี หรือคลองมหาสวัสดิ์ที่ไหลผ่านไปสู่แม่น้ำท่าจีน ถือเป็นคลองขุดสายสำคัญของชุมชนที่ใช้เป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้าน เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการขุดคลองมหาสวัสดิ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2402 จนแล้วเสร็จ ปี พ.ศ. 2503 ปัจจุบันนอกจากสัญจรแล้ว ด้วยบรรยากาศสองฝั่งที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตผู้คนริมน้ำ ลำคลองสายนี้จึงใช้ประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวของชุมชนด้วยเช่นกัน จุดแรกที่เราแวะก่อนล่องเรือ คือ บ้านข้าวตัง อาคารปูนเปิดโล่งอยู่ตรงข้ามตลาดน้ำบ้านศาลาดิน เป็นแหล่งรวมของฝาก ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อต่างๆ ของชุมชน จุดบริการนักท่องเที่ยว และที่นี่ยังเป็นจุดการเรียนรู้การทำข้าวตังอีกด้วย ข้าวตังของบ้านศาลาดินจะใช้ข้าวกล้องกับข้าวไรซ์เบอร์รีหุงแล้วนำมาตากแห้ง ทอดแล้วทาด้วยซอส ใส่ไก่หยองพร้อมโรยด้วยเมล็ดงา เป็นภูมิปัญาในการแปรรูปข้าวที่ช่วยกระจายรายได้ให้กับชาวบ้านในชุมชน ใครสนใจสามารถมาลองทำข้าวตังด้วยตัวเองดูสักครั้ง บอกได้เลยว่าข้าวตังที่นี้ทั้งหอม กรอบ อร่อยกันอย่างแน่นอน 2. พายเรือชมนาบัวลุงแจ่ม อิ่มท้องกับข้าวตังแสนอร่อยกันแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ แสงแดดยามสายก็เริ่มสาดส่องแรง อย่ารอช้าเราก็มาลงเรือกันเลย ณ ท่าน้ำตลาดบ้านศาลาดิน ใครที่กังวลเรื่องความปลอดภัย ที่นี่เขามีเสื้อชูชีพให้สวมก่อนลงเรือกันทุกคน สร้างความอุ่นใจให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ได้เป็นอย่างดี เรือลัดเลาะไปตามลำคลอง เพลิดเพลินไปกับวิถีชีวิตริมสายน้ำสองข้างทาง เพียงไม่นานเราก็มาอยู่กันที่นาบัวลุงแจ่ม นาบัวลุงแจ่ม เป็นนาบัวตัดดอกของป้าติ๋ว หรือคุณประไพ สวัสดิ์โต เกษตรชาวบ้านที่นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้จนประสบผลสำเร็จ สร้างรายได้ให้กับครอบครัว ทั้งยังเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวของชุมชนอีกด้วย พายเรือท่ามกลางทิวทัศน์ที่รายล้อมไปด้วยดอกบัวหลายพันดอก ทั้งบัวสัตตบุษย์ที่มีกลีบดอกสีขาว และบัวสัตตบงกช กลีบดอกสีชมพูอมม่วงอย่างใกล้ชิดแล้ว ทำให้เราหลงเสน่ห์ได้อย่างง่ายดายจนต้องแชะภาพเก็บความประทับใจกันเลยละ บอกเลยว่าใครมาเที่ยวที่นี่ คุณจะได้เข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งพายเรือกลางนาบัว ชมและเก็บดอกบัวกลางสระ เรียนรู้วิธีการจับจีบจากคุณประไพ สวัสดิ์โต ซึ่งบอกกับเราว่า คนที่นี่จะไม่เรียกว่า การพับ เพราะฟังดูไม่เป็นสิริมงคล จึงใช้คำว่า “จับจีบ” ดอกบัวแทน นอกจากนี้ยังเลือกซื้อของฝากผลิตภัณฑ์จากนาบัวลุงแจ่มติดไม้ติดมือกลับไปได้อีกด้วย เช่น สบู่ดอกบัว น้ำชาเกสรดอกบัวที่กินแล้วเย็นชื่นใจ ใครที่อยากพายเรือชมดอกบัวสวยๆ เต็มบึงละก็ แนะนำให้มาเที่ยวช่วงหน้าร้อน ป้าติ๋วแอบกระซิบมาว่าดอกบัวที่นี่จะเบ่งบานออกดอกมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน อยากให้มาเที่ยวกันสักครั้งแล้วคุณจะประทับใจแบบเรา 3. เที่ยวสวนฟักข้าว ณ บ้านฟักข้าว ล่องเรือกันต่อไปยังบ้านฟักข้าว ที่นี่เปิดเป็นแหล่งเยี่ยมชมสวนฟักข้าวริมคลองมหาสวัสดิ์ โดยมีคุณขนิษฐา พินิจกุลเป็นผู้ดูแล ใครมาเยือนจะได้สัมผัสความร่มรื่นของสวน และลิ้มรสผลิตภัณฑ์จากฟักข้าว เช่น หมี่กรอบฟักข้าว น้ำฟักข้าว สบู่ฟักข้าว และอื่นๆ อีกมากมาย ไฮไลท์ของบ้านฟักข้าว คือ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟฟักข้าว ที่ใช้น้ำฟักข้าวเข้มข้นมาแทนน้ำเย็นตาโฟ ให้รสชาติที่กลมกล่อมมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อีกทั้งน้ำฟักข้าวยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินอีกด้วย ถือเป็นเมนูแนะนำ มาแล้วต้องกิน 4. ถ่ายรูปสวยๆ ที่นากล้วยไม้ นั่งเรือมาไม่ไกล เราก็ขึ้นฝั่งมายัง “นากล้วยไม้” ภายในเป็นพื้นที่ปลูกกล้วยไม้หลายสายพันธุ์ อาทิ สกุลหวาย และสกุลมอคคาร่า แต่ที่โดดเด่นของที่นี่คือ “พันธุ์ทัศนีย์” ลักษณะเป็นกล้วยไม้ดอกสีม่วง อวดโฉมความสวยงามให้ชมตลอดทั้งแปลง จึงทำให้ที่นี่เป็นอีกจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในการเช็คอินถ่ายรูปกับแบ็กกราวด์สวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศแปลงกล้วยไม้หลายพันดอก 5. ชิมผลไม้สดตามฤดูกาล ตะลอนนั่งรถอีแต๋นชมทุ่ง กิจกรรมสุดท้ายของการล่องเรือท่องเที่ยวบ้านศาลาดิน คือ “กินผลไม้สด นั่งรถอีแต๋นชมทุ่งนา” ณ สวนลุงบุญเลิศ เห็นเพียงชื่อกิจกรรมก็ดูตื่นเต้นกันแล้วใช้ไหมล่ะ เราได้คลายร้อนด้วยของกินแสนอร่อยกับผลไม้สดๆ จากสวน เช่น ส้มโอ มะม่วง ฝรั่ง และกล้วยหอม เสิร์ฟพร้อมขนมปังไส้ผลไม้อร่อยกรุบกรอบ และเมี่ยงกลีบบัวเลิศรส ใครที่ยังไม่เคยทานแนะนำต้องลอง เมื่อนั่งพักทานของกินคลายร้อนกันไปแล้ว ก็ถึงเวลานั่งรถอีแต๋นชมทุ่งกันต่อ แรกเห็นคิดเพียงแค่การนั่งรถอีแต๋นชมสวนแบบธรรมดา แต่ที่ไหนได้ มันไม่ธรรมดาเลยละ! ใครที่ชอบการท่องเที่ยวแบบหวาดเสียวไม่ควรพลาด การนั่งรถอีแต๋นชมทุ่งของที่นี่เหมือนได้นั่งรถไฟเหาะเลยละ ยิ่งตอนรถอีแต๋นเลี้ยวโค้งนี่ก็ยิ่งต้องลุ้นกับการหักหัวรถแบบหักศอก หากเลี้ยวไม่พ้นโค้งก็ลงไปนอนเล่นที่ก้นสระน้ำเบื้องหน้าได้เลย สองมือของเราต้องคอยจับขอบเหล็กรถให้แน่นอย่างกับตุ๊กแก ใครที่ตัวสูงหน่อยก็ต้องคอยหลบกิ่งไม้สองข้างทางให้ดี แต่เมื่อผ่านจุดเลี้ยงโค้งมาแล้ว เราก็จะได้เห็นท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ หากมาเที่ยวในช่วงเดือนทำนา หรือเดือนเก็บเกี่ยว คุณจะเห็นความสวยงามของท้องทุ่งจนอยากแวะมาเที่ยวอีกครั้ง เสาร์อาทิตย์นี้ หากใครที่ยังไม่มีแผนท่องเที่ยวที่ไหน เราขอแนะนำบ้านศาลาดิน จังหวัดนครปฐมกัน ไม่ไกลจากกรุงเทพไปเช้าเย็นกลับได้สบาย คุณจะได้ทั้งความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับจุดท่องเที่ยวต่างๆ และยังได้กินของอร่อยๆ พร้อมเลือกซื้อของฝากจากชุมชนติดไม้ติดมืออีกด้วย เรียกได้ว่ามาวันเดียวเที่ยวครบทั้งชุมชน ข้อมูลเพิ่มเติม บ้านศาลาดิน ที่อยู่ : บ้านศาลาดิน ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐมกัน ปิดบริการเวลา 8.00 –17.00 น. ค่าเรือ 350 บาท ต่อ 1 ลำ ค่าหัว 100 บาท ต่อ 1 คน เรือ 1 ลำนั่งได้ 6 คน อัตราค่าบริการเพิ่มเติมในกรณีนั่งรถอีแต๋น เที่ยวละ 100 บาท นั่งได้ 10 คน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
0 Comments
เทรนด์ท่องเที่ยวมาแรง ! สำหรับ “สะพานไม้ที่ทอดยาวกลางท้องนาสีเขียว” ที่เที่ยววิวหลักล้านที่น่าไปนั่งพักผ่อนรับลมเย็น ๆ ส่วนจะมีที่ไหนน่าไปเช็กอินบ้างนั้น ตามเราไปเที่ยวกันเลย 1.สะพานไม้ 100 จ.นครราชสีมา ประเดิมที่แรกกับ “สะพานไม้ 100 ปี” ณ หมู่บ้านโคกกระชาย อ.ครบุรี ซึ่งทอดผ่านกลางทุ่งนาของชาวบ้านหลายร้อยไร่ ประหนึ่งได้เดินอยู่ท่ามกลางท้องนาเขียวขจี และถ้าเป็นช่วงหน้าฝน คุณจะได้สัมผัสกับกลิ่นไอดินจาง ๆ ชวนให้สดชื่น ที่สำคัญในยามเย็นสะพานไม้แห่งนี้ ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย 2.สะพานทุ่งนามุ้ย จ.นครนายก มาแวะสูดอากาศดี ๆ ที่ “สะพานทุ่งนามุ้ย” จุดเช็กอินซึ่งตั้งอยู่ใน ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก ที่คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศแสนอบอุ่น ผ่านสะพานไม้ไผ่ที่คดเคี้ยวเหนือท้องนาสีเขียว และถ้าอยากนั่งพักท่ามกลางธรรมชาติ ที่นี่มีทั้งที่นั่งเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่กลางทุ่งนา หรือจะมานั่งพักจิบน้ำเย็น ๆ ที่ร้านค้าของชาวบ้าน ก่อนเดินเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสวนกันแบบสด ๆ ติดไม้ ติดมือไปเป็นของฝากก็ได้ 3.มีนา cafe’ จ.กาญจนบุรี ป็นร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิลใน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อมองไปจากร้านจะเห็นวิวของวัดถ้ำเสือ ซึ่งมีเจดีย์สีส้มตั้งเด่นอยู่บนภูเขา ตัดกับภาพท้องฟ้า แถมที่นี่ยังมีสะพานไม้เป็นทางเดินยื่นออกไปกึ่งกลางทุ่งนา ให้เดินชมวิว ถ่ายภาพเช็กอินเก๋ ๆ อีกหลายมุม หรือจะเขียนชื่อ และความในใจ หรือเขียนชื่อคู่กับคู่รัก บนป้ายไม้เกาหลี ก่อนนำไปแขวนก็น่าสนใจไม่น้อย แต่ถ้าอยากรอเก็บภาพพระอาทิตย์ตกช่วงเย็น ก็นอนเปลรับลมเย็น ๆ รอได้เช่นกัน 4.ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ จ.น่าน หากได้ไปเยือนเมืองปัว จ.น่าน สักครั้ง คุณไม่ควรพลาดแวะจิบกาแฟ ดื่มด่ำบรรยากาศทุ่งนาสีเขียวสลับแปลงดอกไม้เล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ณ จุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอย่าง “ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ” เด็ดขาด ร้านกาแฟแห่งนี้ ทำทางเดินไม้ไผ่ทอดยาวไปถึงกลางทุ่งนา ระหว่างทางมีจุดแวะพักเป็นซุ้มเล็ก ๆ พร้อมเบาะนุ่ม ๆ ให้ได้นั่งหรือนอนชมวิวกันอย่างสบายใจ หรือจะถ่ายรูปที่นี่ก็มีมุมให้เลือกเพียบ 5.เจียงดารา จ.เชียงใหม่ ปิดท้ายด้วยที่เที่ยวในจังหวัดซึ่งเกือบอยู่เหนือสุดของประเทศไทย อย่าง “เจียงดารา” จ.เชียงใหม่ ร้านกาแฟน่ารัก ๆ ท่ามกลางนาข้าว ที่ชวนให้แวะจิบกาแฟริมทุ่ง และเดินถ่ายรูปเล่นบนสะพานไม้ไผ่ ที่มีฉากหลังเป็นดอยหลวงเชียงดาว ส่วนใครที่อยากนอนพัก เพื่อรอสัมผัสสายหมอกยามเช้า ที่นี่ก็มีที่พักแบบกระท่อมริมนาแบบเรียบง่ายให้บริการนักท่องเที่ยวเช่นกัน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Tonkit360
เที่ยวชมธรรมชาติ เพลินไปกับถนนสวยๆ ชมภูเขาสีเขียว 3 วัน 2 คืน ตะลุยเที่ยวพะเยา น่าน แพร่ กันเพลินๆ ผ่อนคลายกับสีเขียว สดชื่นไปกับลมหนาว สโลว์ไลฟ์ในวันหยุด ออกเดินทางจากกรุงเทพตอนกลางคืน ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงแล้วจังหวัดพะเยา แวะเที่ยวที่แรกกันที่ “กว๊านพะเยา”ชมวิวบรรยากาศยามเช้า พร้อมกินมื้อเช้าเพิ่มพลังหลังจากขับรถกันมานาน ชมวิวบรรยากาศทะเลสาบที่สวยที่สุดของจังหวัดกันแล้ว ออกเดินทางต่อไปไหว้พระที่ “วัดศรีโคมคำ” เพื่อเป็นสิริมงคลในการเที่ยวครั้งนี้ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์กันต่อที่ “อ่างเก็บน้ำแม่ปีม” สัมผัสธรรมชาติรอบตัว ผ่อนคลายไปวิวอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ไปชมความเก่าแก่ของ “วัดนันทาราม” วัดไทยใหญ่หนึ่งเดียวของจังหวัด สร้างจากศิลปะแบบไทยใหญ่ ประกอบด้วยไม้สักทั้งหลัง มีความสวยงามและแปลกตาสุดๆ แวะกินมื้อเที่ยง ก่อนออกเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติกันต่อที่ “อุทยานแห่งชาติภูซาง” ชมธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สุดร่มรื่น แล้วไปนั่งเล่นน้ำตกเพลินๆ ที่ “น้ำตกภูซาง” ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติสีเขียว รู้สึกสดชื่นสุดๆ เพลินไปกับธรรมชาติกันเสร็จแล้ว ก็ไปไหว้พระกันต่อที่ “วัดพระเขานั่งดิน” วัดสำคัญอีกแห่งของจังหวัดพะเยา ชมปพระพุทธรูปที่ประดิษฐานตั้งอยู่บนพื้นดิน สักการะกราบไหว้ ขอพร ก่อนเดินทางต่อเข้าที่พักใน “วนอุทยานภูลังกา” จุดหมายที่พักของเราในคืนแรก ตื่นเช้า จิบกาแฟ กินมื้อเช้า พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้น ท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมธรรมชาติ สวรรค์ในตอนเช้าของ “วนอุทยานภูลังกา” ที่ต้องไม่ควรพลาดมารอรับชม เก็บกระเป๋า ออกเดินทางต่อไปที่ “จังหวัดน่าน” บนถนนเส้นทางที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ และวิวสวยๆ เพลินตลอดทางเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ขั่วโมงนิดๆ ก็ถึง “วัดภูเก็ต” จุดเริ่มต้นการท่องเที่ของเราในเช้าวันที่สอง ไหว้พระ เดินชมวิวทุ่งนา เพลินกันละทีนี้ ไหว้พระเสร็จ ไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันต่อที่ “กาแฟบ้านไทลื้อ” นั่งชิล เดินเล่น จิบกาแฟ กันเพลินๆ ถือเป็นการแวะพักระหว่างทางที่ธรรมชาติสุดๆ ระหว่างทางว่าธรรมชาติแล้ว พอเข้ามาในพื้นที่ “อุทยานแห่งชาติขุนน่าน” บอกเลยว่าหลงรักธรรมชาติสีเขียวของที่นี่เลย ชมวิวกันเพลินๆ แล้ว ก็มาเล่นน้ำตกชิลๆ ที่ “น้ำตกสะปัน” น้ำตกสวยๆ ของอำเภอบ่อเกลือ นั่งเอาเท้าแช่น้ำเพลินๆ ผ่อนคลายสุดๆ เดินชมบรรยากาศหมู่บ้านกลางหุบเขา “บ่อเกลือ” พร้อมชมการทำเกลือแบบธรรมชาติของคนที่นี่ ออกเดินทางไปไหว้พระที่ “วัดศรีมงคล” พร้อมเดินชมวิวบรรยากาศทุ่งนา ถ่ายรูปมุมสวยๆ คู่กับธรรมชาติแบบใกล้ชิด ออกเดินขับรถเข้าตัวเมืองน่าน แวะไหว้ “พระธาตุแช่แห้ง” สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระธาตุคู่เมืองน่าน สวยงาม โดดเด่น สีทองอร่าม และยังเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ เข้าสู่ตัวเมืองน่าน กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามเย็น ชมภาพกระซิบรักบรรลือโลกที่ “วัดภูมินทร์” ชมศิลปวัฒนธรรมล้านนา วัดเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองน่านมากอย่างยาวนาน เก็บของ เปลี่ยนชุด ออกมาเดินเล่น “ถนนคนเดินน่าน” ข้างวัดภูมินทร์ ชมการแสดง การละเล่นต่างๆ ในยามค่ำคืน ภายในลานกิจกรรม ดูกิจกรรมเพลินๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย กินไป ชมไป เพลินสุดๆ ตื่นตั้งแต่เช้าไปที่ “อุทยานแห่งชาติศรีน่าน” ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ดอยเสมอดาว” จุดชมวิวธรรมชาติ ชมสายหมอกในยามเช้า ที่คนรักการชมวิวในยามเช้าต้องไม่พลาดที่จะขึ้นมารับชม เดินเล่นชมปรากฎการณ์ธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติศรีน่านที่ “เสาดินนาน้อย” ชมเสาดินรูปร่างต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ขึ้นไปชมวิวเมืองน่านที่ “วัดพระธาตุเขาน้อย” อีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องมากราบไหว้ เดินเล่น ถ่ายรูปเช็คอินที่ “ซุ้มลีลาวดี” ก่อนเตรียมโบกมือลาจังหวัดน่าน เดินทางกลับกรุงเทพ ใช้เส้นทางวิ่งผ่านจังหวัดแพร่ แวะชมความสวยงามของปรากฎการณ์ธรรมชาตืที่ “วนอุทยานแพะเมืองผี” แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของจังหวัด ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแพร่ องค์พระธาตุประจำปีเสือ “พระธาตุช่อแฮ” พร้อมชิมวิวเมืองแพร่ ก่อนเดินทางกลับบ้าน เป็นการจบทริป 3 วัน 2 คืน “พะเยา น่าน แพร่” นี่เป็นเพียงแค่ที่เที่ยวเพียงส่วนหนึ่งของแต่ละจังหวัด ที่จะทำให้ได้เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติ เพลินไปวิวข้างทางที่สวยงาม ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายๆ ของปีนี้ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , พาไปดอทคอม
เข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งความสุขกันแล้วสำหรับช่วงสิ้นปีนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่เคาท์ดาวน์และชมไฟสวยๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่กันอยู่ Sanook! Travel มี 10 งานอีเว้นท์และสถานที่จัดงานสวยๆ มาให้ทุกคนได้ตัดสินใจไปร่วมงานกันครับ 1.Bangkok Countdown 2019 @centralwOrld จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับงานเคาท์ดาวน์และกิจกรรมปีใหม่ของห้าง Central World ซึ่งในปีนี้มาในธีม Smiley สุดน่ารัก มีการประดับประดาไฟบริเวณลานหน้า Central World เอาไว้อย่างสวยงาม เป็นหนึ่งในอีเว้นท์ปีใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สามารถมาเที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงช่วงปีใหม่เลยครับ สถานที่จัดงาน : ลานหน้า Central World 2.Amazing Thailand Countdown 2019 สำหรับห้างน้องใหม่ที่กลายเป็นกระแสอย่างมากประจำปีนี้อย่าง Iconsiam ก็มีการจัดงานเคาท์ดาวน์ขึ้นเช่นกัน กับงาน “Amazing Thailand Countdown 2019 @ ICONSIAM” ซึ่งแน่นอนว่างานนี้จัดเต็มจัดใหญ่ด้วยแสงสีเสียงสุดตระการตาไม่ให้น้อยหน้าขนาดของห้าง Iconsiam แน่นอน สำหรับใครที่อยู่ทางฝั่งธน ที่นี่คือที่เคาท์ดาวน์ที่ห้ามพลาด สถานที่จัดงาน : ลานหน้า Iconsiam 3.King Power Mahanakorn ถ้าจะบอกว่าสถานที่เคาท์ดาวน์ที่ไหนโลเคชั่นสวยที่สุด คงหนีไม่พ้นสกายวอล์ค ด้านบนตึก King Power Mahanakorn แน่นอน ลองคิดภาพบรรยากาศดูว่าจะโรแมนติกขนาดไหนหากคุณได้ใช้เวลาข้ามปีไปกับคนรักด้านบนจุดที่สูงที่สุดใน กรุงเทพฯ สถานที่จัดงาน : บริเวณสกายวอล์ค ตึกคิงพาวเวอร์ มหานคร 4.Mega Countdown 2019 สำหรับคนที่บ้านอยู่ในแถบย่านบางนาและสมุทรปราการหากไม่อยากไปเคาท์ดาวน์ไกลบ้านมากนัก Mega Bangna ก็จัดงานให้คุณได้ร่วมสนุกกันในวันสิ้นปีนี้ กับงาน Mega Countdown บริเวณลานหน้า Mega Bangna จะมีการประดับประดาไฟอย่างสวยงาม เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้คุณได้ไปเก็บเกี่ยวความทรงจำ และคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังอีกมากมาย สถานที่จัดงาน : ลานกิจกรรมหน้า Mega Bangna 5.MONO29 PATTAYA COUNTDOWN 2019 : Universe of Entertainment สนุกสุดขอบจักรวาล พบกับศิลปินสุดฮอตของเมืองไทย อาทิ ROOM39, สิงโต นำโชค, เบน-ชลาทิศ, แสตมป์-อภิวัชร์, ป้าง-นครินทร์, เอ๊ะ-จิรากร, เรโทรสเปกต์, และ พร้อมลุ้นของขวัญรับปีใหม่ กับรางวัลมากมาย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท สถานที่จัดงาน : ท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ 6.BURIRAM COUNTDOWN 2019 BREATH OF BURIRAM “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จัดเต็ม จัดใหญ่ “BURIRAM COUNTDOWN 2019 BREATH OF BURIRAM” ฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของทีม ชมฟรีคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดังของประเทศ พร้อมการสุดเซอร์ไพรส์ของขุนพลนักเตะ ณ ช้างอารีนา คืนวันที่ 31 ธันวาคม นี้ สถานที่จัดงาน : ช้างอารีนา จังหวัดบุรีรัมย์ 7.Impack Lake Front Wonerland อิมแพ็ค เลคฟร้อนท์ วันเดอร์แลนด์ งานนี้จัดเต็มด้วยความสวยงามขจองสถานที่จัดงานริมทะเลาสาบเมืองทองธานี มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ในช่วงเย็นๆ และมีอาหารให้เลือกรับประทานกันหลากหลาย เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ในช่วงปีใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว สถานที่จัดงาน : ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี 8.Central Phuket International Countdown 2019 เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2019 ด้วยกันที่ภูเก็ต ท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลและปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงที่จะทำให้ค่ำคืนสิ้นปีของคุณเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แสงสีเสียงสุดอลังการที่จะเปลี่ยนให้ Central Phuket กลายเป็นพื้นที่เก็บความทรงจำสุดท้ายของปีนี้ สนุกสนานไปกับเพลงจากดีเจชื่อดัง ต้อนรับปี 2019 ด้วยความสุขแบบจัดเต็ม สถานที่จัดงาน : Central Phuket 9.Asiatique Thailand Countdown 2019 ขึ้นชื่อเป็นประจำอยู่แล้วสำหรับงานเคาท์ดาวน์เอเชียทีค ด้วยบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบชิลๆ และแสงสีเสียงสุดอลังการที่จะช่วยสร้างสีสันและความสุขให้แก่คุณในวันสิ้นปี อีกทั้งจัดเต็มกับคอนเสิร์ต Chang Music Connection Presents Asiatique Thailand Countdown 2019 “The Tomorrow Port” พบกับกองทัพศิลปิน เดอะ พาร์กินสัน , บุรินทร์ , โจอี้ บอย , ทูพี , วิน สควิซ แอนนิมอล , สิงโต นำโชค , ภูมิ วิภูริศ , ค็อกเทล , จีน กษิดิศ , ร๊อคซี่ จูน ดีเจสาวสุดฮอต โดยประตูเปิดห้าโมงเย็นเป็นต้นไป สถานที่จัดงาน : เอเชียทีค กรุงเทพมหานคร 10. CDC Countdown Free Concert 2019 สร้างปรากฏการณ์ความสนุกสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีกับการรวมกลุ่มของศิลปินชื่อดังระดับประเทศ นำโดย วง มายด์ แท็กทีมวง เคลียร์, 25Hours, แทตทูคัลเลอร์, ROOM 39 และดีเจสาวสุดฮอต ดีเจของขวัญ ชวน โดด โยก มันส์ สุดเหวี่ยงแบบนอนสต็อบ ฉลองคืนเคาท์ดาวน์สุดยิ่งใหญ่กับฟรีคอนเสิร์ตสุดมันส์ ในงาน "CDC Countdown Free Concert 2019" สถานที่จัดงาน : CDC เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
ณ สัทธา เฟสติวัล 2018 “มหัศจรรย์แห่งความเบิกบาน” เทศกาลเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข ส่งท้ายปี12/19/2018 เดือนธันวาคมนี้ ณ สัทธา อุทยานไทย อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขอเชิญนักท่องเที่ยวร่วมเทศกาลเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ในกิจกรรมพิเศษ ณ สัทธา เฟสติวัล 2018 “มหัศจรรย์แห่งความเบิกบาน” ในวันที่ 22-23, 29-30 ธันวาคม พ.ศ. 2561 และวันที่ 1, 5-6 มกราคม พ.ศ. 2562 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 22.00 น. ร่วมสนุกกับเทศกาลแห่งความสุขและความเบิกบานทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมกับกิจกรรมพิเศษมากมายที่ไม่ควรพลาด โดยการเข้าชมแบ่งเป็น 2 รอบ คือ รอบกลางวัน 08.30 – 17.00 น. และรอบกลางคืน18.00 – 22.00 น. กิจกรรมกรรมกลางวัน เวลา 08.30 – 17.00 น. - ถ่ายภาพกับสถานที่ที่ตกแต่งพิเศษต้อนรับความเบิกบานในเทศกาลปีใหม่ สวยงามทั้งอุทยาน - จัดดอกไม้ไหว้พระขอพรปีใหม่ เขียนคำอธิษฐาน ที่โซน ณ สัทธาปฏิมา 3 สมัย - กิจกรรม Workshops สร้างสรรค์ ความเบิกบาน ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตลอดเดือนธันวาคม อาทิ จัดสวนกระบะ Snow Globe Salad To Go เป็นต้น - ชมการแสดง นาฏมวยไทย จาก รร.วัดน้ำพุ ชนะเลิศ “นาฏมวยไทยอีซูซุ” ปีที่ 9 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร - ชมการแสดงจากวงบันได รองชนะเลิศจากรายการ Thailand Got Talent 2018 - ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมจาก รร.บางแพปฐมพิทยา (โขน รำโทน รำไทย 4 ภาค) - ฟังเพลงเพราะๆ ชิวๆ สไตล์ bossa nova จากวงมโน ที่ลานกิจกรรม ณ สัทธา ถิ่นเรือนไทย - เลือกชิมอาหาร ของดีของอร่อย กิจกรรมกลางคืน เวลา 18.00 – 22.00 น. - ชมความงดงามของการจัดแสดงไฟประดับที่จะทำให้อุทยานยามค่ำคืนสว่างไสว สวยงาม - เขียนโคมคำอธิษฐาน และความตั้งใจในปีใหม่ ที่โซน ณ สัทธาปฏิมา 3 สมัย - เลือกซื้อสินค้า และชิมอาหาร ของดีของอร่อยราชบุรี - ชมการแสดงจากครูนาย มานพ มีจำรัส ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง และทีม สะบัดลาย จากรายการ Thailand Got Talent - ฟังเพลงเพราะๆ ชิวๆ สไตล์ bossa nova จากวงมโน - กิจกรรมสอยดาวมหาสนุก ลุ้นรับของรางวัลมากมาย ขอเชิญท่านร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ที่ ณ สัทธา อุทยานไทย จังหวัดราชบุรี สำหรับอัตราค่าเข้าชม บัตรเข้าชมงานกลางคืน (18.00 – 22.00 น.) ราคา 350 บาท , บัตรเข้าชมงานกลางคืนพร้อมคูปองอาหาร(มูลค่า 200 บาท) ราคา 500 บาท และ บัตรเข้าชมงานทั้งวัน ราคา 500 บาท ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจไปกับความสวยงามอลังการของหุ่นฟาง ที่จัดทำขึ้นเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ รวมทั้งหมด 9 ตัว ภายใต้แนวคิด “สัตว์ป่าภายใต้พระบารมีพ่อ” จัดแสดงบริเวณลานหมู่บ้านคิงคองยักษ์ ภายในอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หุ่นฟางสัตว์ป่าที่สร้างขึ้นตามจินตนาการอันสวยงาม เป็นฝีมือการแข่งขันจากผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 9 ทีม จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศในมหกรรมประกวดหุ่นฟางครั้งที่ 1 ซึ่งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ตั้งแต่ปี 2523 สำหรับหุ่นฟางที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นหุ่นฟางกวาง ทีมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ และ หุ่นฟางสิงโต จากทีมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ซึ่งคณะกรรมการตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งสองทีม ได้รับเงินรางวัลทีมละ 40,000 บาท ส่วนรางวัลชมเชยเป็นหุ่นฟางหมูป่า ทีมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน หุ่นฟางกวางมูส จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน , หุ่นฟางช้าง ทีมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ และ และ หุ่นฟางช้าง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอุตรดิตถ์ ได้รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท นอกจากนี้มีรางวัลพิเศษ 3 รางวัล ได้แก่ หุ่นฟางนกยูง , หุ่นฟางนกเหงือก และ หุ่นฟางกูปรี ได้รับเงินรางวัล ทีมละ 6,000 บาท สำหรับหุ่นฟางสัตว์ป่าภายใต้พระบารมีพ่อ ทั้ง 9 ตัว จะนำไปจัดแสดงในบริเวณหมูบ้านคิงคองยักษ์ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์คแห่งการถ่ายภาพ โดยหุ่นฟางครอบครัวคิงคองยักษ์และสัตว์ทั้ง 9 ตัว จะคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ตลอดฤดูหนาวนี้ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
ใกล้จะหมดปีแล้ว ได้เวลาขึ้นเหนือไปสัมผัสลมหนาวให้ชุ่มฉ่ำปอดแบบ 4 วัน 3 คืน ตะลุยเชียงใหม่ ชมธรรมชาติ สายหมอกในยามเช้าแบบสุดฟิน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ เก็บกระเป๋า ตรวจสภาพรถ เตรียมพร้อมออกเดินทางในช่วงประมาณเที่ยงคืน มุ่งหน้าตรงไปที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยใชัเส้นทางสายเอเชีย ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง เพื่อให้ถึงเชียงใหม่ตอนเช้าพอดี แวะเที่ยวชมดอกไม้ที่ “อุทยานหลวงราชพฤกษ์” ชมดอกไม้กันเพลินๆ ออกเดินทางต่อไปยังที่ “วัดพระธาตุดอยคำ” กราบไหว้ขอพร เพื่อเป็นสิริมงคลสำหรับการเที่ยวในครั้งนี้ พร้อมชมวิวบรรยากาศเมืองเชียงใหม่ เดินทางเข้าไปกินมื้อเที่ยงด้วยเมนูอาหารเหนือ มาเชียงใหม่ทั้งทีต้องกินอาหารเหนือในตัวเมือง เพิ่มพลังก่อนออกเดินทางต่อ กินอิ่ม เที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่กันเพลินๆ ได้เวลาออกเดินทางต่อที่ “อำเภอเชียงดาว” จุดหมายของการเดินทางในวันแรก ใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงก็ได้มาถึงที่ “ดอยหลวงเชียงดาว” ที่พักคืนแรก ท่ามกลางบรรยาศที่มีธรรมชาติล้อมรอบ เก็บกระเป๋า เก็บข้าวของ ฟินไปกับธรรมชาติกันได้ นอนงีบ พักสายตา สักพักก็ตื่นมาสัมผัสกับบรรยากาศยามเย็นของที่นี่ นอนรับลมหนาว ท่ามกลางความเงียบสงบ นี่สิการพักผ่อนที่แท้จริง สวรรค์ของคนชอบดูดาว ตามหาช้างเผือก “ดอยหลวงเชียงดาว” นี่แหละคือคำตอบ ตื่นเช้า ชมสายหมอก รับลมหนาวเพิ่มความสดชื่น หน้าห้องพัก กินมื้อเช้าของที่พักหลักร้อย วิวหลักล้าน กับเมนูข้าวต้มร้อนๆ พร้อมกาแฟ คลายความหนาวกันหน่อย ฟินกับบรรยากาศของที่พักเชียงดาว กันเสร็จแล้ว ก็เก็บของเตรียมออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อในช่วงสาย ก่อนจะโบกมือลาอำเภอเชียงดาว แวะไหว้พระ ชมความสวยงามของ “วัดถ้ำเชียงดาว” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอำเภอมีความเก่าแก่ มีธรรมชาติที่สวยงามรอบล้อม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงอำเภอเชียงดาว ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว แวะกินมื้อเที่ยงกับเมนูเหนือๆ อย่างเมนู “ข้าวซอยไก่” จะได้มีแรงเดินทางกันต่อ ออกเดินทางต่อไปยัง “อำเภอแม่ออน” ไปยังหมู่บ้านเล็กๆ กลางป่าเขาอย่าง “หมู่บ้านแม่กำปอง” ไปใช้ชีวิตชิลๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ใช้เวลาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว “หมู่บ้านแม่กำปอง” จุดหมายของเราในวันที่สอง เดินเล่น เดินชม บรรยากาศ ก่อนเข้าไปเก็บของที่โฮมสเตย์ใจกลางหมู่บ้าน บรรยากาศตอนกลางคืนของหมู่บ้านแม่กำปอง มันก็จะเงียบๆ แต่สงบสุดๆ ตื่นเช้า จิบกาแฟ ชมวิวหมู่บ้าน กันที่ร้าน “ชมนกชมไม้” ร้านกาแฟวิวสวย ร้านดังของที่นี่ ชมโบสถ์กลางน้ำ สัมผัสธรรมชาติ กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่หมู่บ้านที่ “วัดแม่กำปอง” วัดเก่าแก่ที่มีความสวยงามในป่าเขา ไปนั่งแช่น้ำเล่น “น้ำตกแม่กำปอง” ผ่อนคลาย ท่ามกลางธรรมชาติ เที่ยวกันเพลินๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวภายในหมู่บ้าน ก็ต้องเก็บของเตรียมออกเดินทางต่อ แวะกินขนมเค้กที่ร้าน “ลุงปุ๊ดป้าเป้ง” ก่อนออกเดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่ กลับมาเข้ามาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นไปสักการะกราบไหว้พระธาตุคู่เมืองเชียงใหม่ที่ “พระธาตุดอยสุเทพ” เพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อมาถึงเชียงใหม่แล้ว ต้องมากราบไหว้ที่นี่ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ กินมื้อเย็นกับเมนู “ขันโตก” แบบสไตล์เหนือแต้ๆ ออกไปเดินช้อปปิ้งตอนกลางคืนในถนนคนเดิน ซื้อของฝาก ซื้อเสื้อผ้า ของที่ระลึก ในคืนสุดท้าย ก่อนเดินทางเข้าที่พัก พรุ่งนี้เตรียมตัวขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์กันแต่เช้าตรู่ เพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามบนยอดดอย ตื่นแต่เช้า ฟ้ายังไม่สว่าง มุ่งหน้าสู่ “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว ยืนรอชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า บริเวณด้านหน้าของ “เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน” หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้ว จะได้สัมผัมธรรมชาติกันต่อ พร้อมแล้วเข้าไปเดินชมธรรมชาติในเส้นทางธรรมชาติ 3 กิโลเมตร ในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ที่จะทำให้ฟินไปกับวิวธรรมชาติที่สวยงาม ที่จะไม่มีวันลืม เดินชิล ฟินกับธรรมชาติกันแล้ว ออกเดินทางขึ้นมาสัมผัสธรรมชาติกันบน “ยอดดอยอินทนนท์” กันต่อ ชมป่าดิบชื้นที่มีสีเขียวอยู่รอบๆ ท่ามกลางอากาศที่หนาวและเย็นสบาย ชมธรรมชาติกันแล้ว ลงมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระธาตุคู่ขวัญของอุทยานที่ “พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” พร้อมชมวิวสวยงาม และดอกไม้ฤดูหนาวหลากหลายสายพันธุ์ เดินทางมาต่อกันที่สถานที่ท่องเที่ยววสุดท้ายของทริปก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ชมสายน้ำตกที่สวยงาม น้ำตกที่เลื่องชื่อคู่กับอุทยานแห่งนี้ “น้ำตกวชิรธาร” น้ำตกขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียว พร้อมกับชมรุ้งกินน้ำที่สวยงามกันได้อีกด้วย จบทริป 4 วัน 3 คืน สัมผัสลมหนาว ชมธรรมชาติที่เชียงใหม่กันไปแล้ว นี่เป็นเพียงที่เที่ยวส่วนหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงธรรมชาติที่สวยงาม สายลมหนาวที่พัดผ่านของปีนี้ สายหมอก แสงแดดยามเช้าของพระอาทิตย์ขึ้น ให้ได้ฟิน อิน ธรรมชาติ กับหน้าหนาวในปีนี้ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , พาไปดอทคอม
ใครกำลังเหนื่อยๆ จากการทำงาน อยากจะออกไปเที่ยวให้ธรรมชาติช่วยบำบัด นั่งพักผ่อนแช่น้ำกลางป่า จะพาคุณไปพบกับ น้ำตกสุขสำราญ น้ำตกเล็กๆ แสนน่ารักกลางป่าใหญ่ ที่จะมอบความสุขสำราญให้แก่คุณดั่งชื่อของน้ำตกแน่นอน แน่นอนว่าการเดินทางสู่ธรรมชาตินั้นหนทางที่จะไปคงไม่ง่ายแน่นอน เพราะการเดินทางไปสู่น้ำตกสุขสำราญจะต้องขับรถผ่านทางลูกลัง ฝ่าดงอ้อย ที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่รับประกันว่าหนทางที่ยากลำบากนี้พอไปถึงจุดหมายคุณจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ภาพบรรยากาศของน้ำตกเล็กๆ ที่เงียบสงบ ป่าไม้ที่รายล้อมยังคงอุดมสมบูรณ์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียวขจี ยิ่งในหน้านี้ที่น้ำตกมีน้ำเยอะทำให้รู้สึกสดชื่นและสูดหายใจได้อย่างเต็มปอดจริงๆ ใครอยากจะนั่งชิลเอาเท้าจุ่มน้ำดื่มด่ำกับบรรยากาศ ที่น้ำตกก็มีบริการแคร่ไม้ ให้เช่านั่งในราคา 50 บาท ใครอยากจะนำอาหารมานั่งทานปิคนิคที่นี่ก็ได้แต่เน้นย้ำเลยว่าต้องรักษาความสะอาดให้ดีด้วย เพราะที่นี่คือธรรมชาติที่ยังคงบริสุทธิ์ไม่ควรแก่การมาปนเปื้อนจากเศษขยะของนักท่องเที่ยว และสำหรับใครที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพบอกเลยว่าที่นี่คือโลเคชั่นที่สวยงามมากๆ สายน้ำที่หลั่งไหลลงมาจากโขดหิน ท่ามกลางต้นไม้ที่เขียวขจี ไร้ซึ่งความวุ่นวายของผู้คน ถ่ายภาพออกมามุมไหนก็สวยงามไปหมด และสำหรับใครที่อยากจะนอนพักผ่อนที่นี่สักคืนก็สามารถกางเต็นท์นอนในบริเวณนี้ได้ด้วย คิดดูว่าจะฟินแค่ไหนหากได้นอนฟังเสียงน้ำไหลท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ทั้งคืน บอกเลยว่าหากใครอยากจะหาที่เงียบสงบพักผ่อนกายพักผ่อนใจ และดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงาม น้ำตกสุขสำราญแห่งนี้คือที่เที่ยวที่ตอบโจทย์คุณเป็นอย่างมาก อยากให้ทุกคนได้ลองมาเที่ยวดูด้วยตัวเอง ที่ตั้งน้ำตกสุขสำราญ : ตำบล น้ำสุด อำเภอ พัฒนานิคม จังหวัด ลพบุรี ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ได้มีแลนด์มาร์คแห่งใหม่เกิดขึ้น บนจุดสกัดเขาสูง-เขาแผงม้า ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน แหล่งท่องเที่ยวสำหรับส่องดูกระทิงป่ามากินหญ้าบริเวณลานหญ้าของเขาแผงม้า โดยทางเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า ได้นำรูปปั้นกระทิงป่าขนาดใหญ่ น้ำหนักกว่า 3 ตัน สูง 3 เมตร มาตั้งไว้โชว์เป็นแลนด์มาร์ค ทำให้มีนักท่องเที่ยวพากันถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างคึกคัก นายพงษ์เทพ มาลาชาสิงห์ ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว อ.วังน้ำเขียว เปิดเผยว่า สำหรับรูปปั้นกระทิงป่าแห่งนี้ ได้มีกลุ่มศิลปินนักปั้นหุ่นชาว ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมาซึ่งเคยร่วมกันปั้นหุ่นจำลองจ่าแซม ฮีโร่ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนมาแล้ว โดยกลุ่มศิลปินนี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม พระนักพัฒนาแห่งวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว ซึ่งท่านเป็นพระที่ส่งเสริมการอนุรักษ์กระทิงป่าเขาแผงม้าด้วย เมื่อเห็นว่าบริเวณจุดส่องกระทิง ที่จุดสกัดเขาสูง-เขาแผงม้า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก จึงได้ช่วยกันปั้นรูปกระทิงยักษ์ น้ำหนักกว่า 3 ตัน สูงกว่า 3 เมตร เพื่อถวายให้หลวงพ่อกัณหา และนำมาตั้งไว้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายหลังจากที่มีรูปปั้นกระทิงยักษ์ ยืนสง่า ก็ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาส่องดูกระทิง พากันมาถ่ายรูปกับรูปปั้นกระทิงยักษ์กันอย่างคึกคัก จนกลายเป็นแลนมาร์คแห่งใหม่ของ อ.วังน้ำเขียว อย่างรวดเร็วในขณะนี้. ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
ในช่วงวันพ่อนี้ ใครกำลังวางแผนอยากจะพาคุณพ่อไปท่องเที่ยวกันอยู่ แต่ไม่อยากไปไกลจากบ้านมากนัก มีที่เที่ยวสวยๆ ใกล้กรุงเทพฯ มาแนะนำให้ทุกคนได้ไปตามรอยในช่วงวันพ่อนี้กัน ทุ่งดอกทานตะวันไร่มณีศร จุดหมายปลายทางแห่งความฟินที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ไปสัมผัส ในช่วงนี้ดอกทานตะวันได้บานสะพรั่งเกือบจะทั้งไร่แล้วประมาณ 90 เปอร์เซ็น ภาพบรรยากาศของดอกทานตะวันเป็นร้อยๆ ต้นที่บานสะพรั่งเหลืองอร่าม ท่ามกลางวิวภูเขาและต้นไม้ มีแสงแดดอ่อนๆ พร้อมกับลมหนาวพัดผ่านเบาๆ ใครที่ชื่นชอบดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วรับรองว่าจะต้องมีความสุขกับที่นี่อย่างแน่นอน และสำหรับใครทีอ่ยากจะมาชมทุ่งดอกทานตะวันนี้ ต้องรีบหน่อยเพราะทุ่งดอกทานตะวันจะมีอายุอยู่ได้แค่ประมาณ 2 อาทิตย์เท่านั้น อย่ารอช้ารีบเก็บกระเป๋าแล้วไปลุยกันเลย ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ตั้งไร่มณีศร : บ้านคลองเสือ หมู่ 15 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ค่าเข้าชม : 40 บาทต่อคน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |