อุทยานแห่งชาติลำคลองงู จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ท่องเที่ยวโดนใจสายแอดเวนเจอร์ที่มีใจรักธรรมชาติ รวมถึงคนที่รักการผจญภัย ท้าทายความกล้าของตัวเอง เรียกได้ว่าครบรสถึงใจ เพราะเพื่อน ๆ จะต้องเดินป่า ปีนเขา เข้าถ้ำ และลุยน้ำ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยแรงกายและแรงใจที่ไม่หวั่นต่อความลำบาก หลายคนชักเริ่มอยากรู้แล้วว่าที่นี่จะโหดหนักขนาดไหน แล้วถ้าอยากไปเที่ยวจะไปอย่างไร เตรียมตัวอะไรบ้าง เราจะมาทำให้หลายคนคลายความสงสัยกันค่ะ 1. อุทยานแห่งชาติลำคลองงู ตั้งอยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทาย แล้วพร้อมผจญภัยในป่าเขา ใครรู้ตัวว่ามีคุณสมบัติที่ว่ามานี้ก็ปักหมุดมาเที่ยวที่นี่กันได้เลย 2. "เดินป่า ปีนเขา ว่ายน้ำ และกระโดดน้ำ" ถือได้ว่าเป็นคอนเซ็ปต์ของการเข้ามาเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงู รับรองว่าคุณจะได้ทำกิจกรรมเหล่านี้จนครบ 3. เสน่ห์ของอุทยานแห่งชาติลำคลองงู อยู่ที่นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับความสวยงามของสภาพป่าที่สมบูรณ์ ด้วยเพราะเป็นผืนป่าเดียวกันกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร รวมถึงสัตว์ป่านานาชนิดให้คุณได้เฝ้าชื่นชมกันอย่างเพลิดเพลิน 4. แหล่งท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ส่วนใหญ่จะเป็นถ้ำและน้ำตก ซึ่งจะพบมากตรงบริเวณลำห้วยคลองงูและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นหุบเขาลึกและเขาหินปูน เช่น น้ำตกนางครวญ, ถ้ำนกนางแอ่น, น้ำตกคลีตี้ และถ้ำเสาหิน เป็นต้น 5. อุทยานแห่งชาติลำคลองงู ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีช่วงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเที่ยวชมประมาณสองเดือน โดยในปี 2561 เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติลำคลองงู ได้ออกประกาศประชาสัมพันธ์เรื่องการเปิดท่องเที่ยวเส้นทางศึกษาธรรมชาติในแหล่งท่องเที่ยวถ้ำเสาหินและถ้ำนกนางแอ่น 6. นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติลำคลองงูจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นนักสำรวจถ้ำ แน่นอนว่าคุณจะต้องเตรียมทั้งความพร้อมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อที่ว่าจะได้เที่ยวอย่างสนุก เช่น - เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ไม่อมน้ำ - รองเท้าหุ้มส้นที่มีดอกยางยึดเกาะพื้น เพื่อป้องกันการลื่นล้ม - ไฟฉายคาดศีรษะ เพราะภายในถ้ำมืดมาก - เป้สะพายหลัง (กันน้ำ) เอาไว้ใส่สัมภาระต่าง ๆ เพื่อความคล่องตัวขณะเดินทาง เช่น น้ำ ขนม ถุงนอน และหมอนผ้าห่ม เป็นต้น 7. สำหรับใครที่ติดโซเชียล เราขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า…ในส่วนของสัญญาณมือถือคงต้องทำใจ เรียกได้ว่าไร้สัญญาณติดต่อและอัปรูปไม่ได้เลยทีเดียว 8. ภายในอุทยานแห่งชาติลำคลองงูมีบ้านพักและลานกางเต็นท์ไว้คอยบริการอยู่ทั้งหมด 2 จุดใหญ่ ๆ คือ บริเวณที่ทำการอุทยาน และบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เขาพระอินทร์ (แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เขาพระอินทร์ มากกว่า เพราะอยู่ห่างจากถ้ำเสาหินและถ้ำนกนางแอ่นไม่ไกลมากนัก) 9. โปรแกรมท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงู 3 วัน 2 คืน โดยวันแรกจะเที่ยวถ้ำเสาหิน และวันที่สอง เที่ยวถ้ำนกนางแอ่น ซึ่งแต่ละที่ใช้ระยะเวลาและความทรหดของร่างกายค่อนข้างหนักหน่วง ดังนั้นต้องฟิตร่างมาให้พร้อม 10. ถ้ำเสาหิน ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเยือนอุทยานแห่งชาติลำคลองงู อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 20 กิโลเมตร โดยจะมีรถเจ้าหน้าที่ไปส่งที่ 10 กิโลเมตรแรก หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวต้องเดิน เดิน และเดินลงรัว ๆ จนขาสั่นไปตาม ๆ กัน 11. ภายในถ้ำเสาหิน นักท่องเที่ยวต้องเดินและต่อด้วยการว่ายน้ำเข้าไปในถ้ำ นอกจากภายในถ้ำจะมืดแล้ว บางช่วงน้ำค่อนข้างแรง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีเจ้าที่คอยนำทางและดูแลความปลอดภัยตลอดทาง และคุณจะได้ตื่นตากับเสาหินที่สูงที่สุดในโลก 62.5 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางถ้ำ ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่ และมีลำห้วยลำคลองงูไหลผ่าน 12. อีกหนึ่งไฮไลท์พลาดไม่ได้สำหรับการมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติลำคลองงู คือ "ถ้ำนกนางแอ่น" เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ใช้ระยะทางสำหรับเดินเท้าประมาณ 4 กิโลเมตร ภายในงดงามด้วยหินงอกหินย้อยแวววาว รวมถึงยังมีหินรูปร่างคล้ายม่านน้ำตกสวยให้ได้เชยชม 13. การเที่ยวชมถ้ำนกนางแอ่น นักท่องเที่ยวจะต้องกระโดดจากบริเวณจุดกระโดดน้ำที่มีความสูงประมาณ 3 เมตร เพื่อลอยคอเข้าไปในถ้ำ บางช่วงที่น้ำค่อนข้างแรงจะมีเชือกเอาไว้ให้จับ และค่อยลอยตามทางต่อไปได้เลย 14. อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวถ้ำนกนางแอ่น นอกเหนือไปจากการชมความสวยงามแบบอลังการแล้ว อยู่ที่จุดวัดใจสุดระทึก คือ "จุดกระโดดน้ำสูงที่สุด" (ประมาณ 5-6 เมตร) ระหว่างที่รอกระโดด อย่าเพิ่งขวัญเสียกับเสียงน้ำแตกกระจาย กับเสียงกรี๊ดของกลุ่มนักท่องเที่ยวก่อนหน้าไปเสียก่อนนะคะ เดี๋ยวจะขาสั่นเสียเปล่า ๆ แต่เตรียมใจรับความเสียวไว้แต่เนิ่น ๆ กันได้เลย (หรือถ้าใครไม่กล้าจริง ๆ จะมีทางเดินข้างล่าง ที่กระโดดไม่สูงเท่าจุดนี้ แต่เดินเข้าไปยากอยู่นิดหน่อย เพราะต้องเดินเบียดหินเข้าไป) 15. การมาเที่ยวอุทยานชาติลำคลองงู มีข้อปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการเข้าเที่ยวชมถ้ำ เพื่อรักษาธรรมชาติให้คงความสวยงาม เช่น - ไม่แตะต้องกลุ่มหินต่าง ๆ ภายในถ้ำ - ห้ามนำอาหารเข้าไปกินในถ้ำ - ห้ามส่งเสียงดังหรือกระทำการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการรบกวนต่อสัตว์ - ห้ามเก็บสิ่งของใด ๆ ออกมาจากถ้ำเด็ดขาด - ห้ามตั้งแคมป์พักแรมภายในถ้ำ - ห้ามเดินออกนอกเส้นทางอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันอันตรายและการหลงทาง การมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติลำคลองงู เรียกได้ว่าต้องอาศัยความอดทนอยู่พอสมควร ใครที่รู้ตัวว่าเป็นนักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์ เราเชื่อว่าคุณจะต้องหลงรักที่นี่เข้าอย่างจัง แต่คนไหนที่ไปเที่ยวกลับออกมาแล้ว อย่าลืมกินยาคลายกล้ามเนื้อกันด้วยนะคะ บอกเลยว่างานนี้มีระบมกันแน่นอน ที่มา >>> kapook
0 Comments
ดอยเสมอดาว สถานที่สุดโรแมนติกแห่งเมืองน่าน ที่คนมีคู่ไปได้ คนไร้คู่ไปเที่ยวก็ดี เพราะบางทีอาจจะได้ไปเจอเนื้อคู่ที่นั่นก็ได้ เวลาลมหนาวพัดมาแบบนี้ ยิ่งทำให้ดอยเสมอดาวมีเสน่ห์ ท้องฟ้าไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็จะปลอดโปร่ง มองเห็นสายหมอก ดอกหญ้า และทะเลดาวได้อย่างชัดเจน อากาศเย็น ๆ บรรยากาศเงียบสงบ ได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ บรรยายมาขนาดนี้ถ้ายังไม่มีดอยเสมอดาวในลิสต์ที่เที่ยวที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง ก็ต้องบอกว่าคุณพลาดแล้ว ! แต่สำหรับใครที่มีดอยเสมอดาวอยู่ในดวงใจแล้ว เรามี 19 ข้อแนะนำ เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะไปนอนนับดาวกันที่นั่นมาฝากค่ะ มีอะไรบ้างไปดูกันเลย 1. ดอยเสมอดาว อยู่ที่ไหน หลายคนทราบดีว่าดอยเสมอดาวตั้งอยู่ในจังหวัดน่าน แต่เราจะให้ข้อมูลที่ลึกลงไปกว่านั้นกันสักนิดค่ะ ดอยเสมอดาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตำบลศรีษะเกษ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นจุดชมวิวที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติศรีน่านและจังหวัด น่าน มีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา เหมาะสำหรับการนอนเต็นท์พักผ่อน เพื่อชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และนอนดูดาว 2. ไม่สูงที่สุด แต่โรแมนติกที่สุด ดอยเสมอดาว เป็นแนวสันเขาซึ่งมีความสูงไม่มากนัก โดยสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 888 เมตร แต่สามารถชมวิวทิวทัศน์ยอดเขาน้อยใหญ่ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมทั้งแม่น้ำน่านที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อยืนอยู่บริเวณจุดชมวิวจะสามารถมองเห็นขุนเขาโดยรอบได้อย่างชัดเจน บรรยากาศเงียบสงบ โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่คุณจะรู้สึกได้ว่ามีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่อยู่รอบ ๆ ตัว เบื้องล่างคือขุนเขา ป่าไม้ ส่วนด้านบนก็เป็นทะเลดาว คำว่าโรแมนติกจึงใช้ได้กับที่นี่แน่นอน 3. อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ไม่ว่าฤดูกาลไหน ๆ บริเวณยอดดอยเสมอดาวก็จะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี ยิ่งในฤดูหนาว บางปีอุณหภูมิลดลงไปเหลือเพียงตัวเลขตัวเดียว และด้วยดอยเสมอดาวตั้งอยู่บนสันเขา ซึ่งเป็นลานเปิดโล่งกว้าง จึงทำให้สามารถรับลมจากทุกทิศทาง นั่นจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ที่นี่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ใครที่อยากหาสถานที่พักผ่อนท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจึงไม่ควรพลาดที่นี่เด็ด ขาด 4. ช่วงไหนควรไปแอ่วดอยเสมอดาว สำหรับดอยเสมอดาวเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตลอดทั้งปี ในช่วงต้นเดือนมีนาคมจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีอุณหภูมิสูงที่สุด ส่วนกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคมจะเป็นฤดูฝน และตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวเย็น แต่ละฤดูกาลจะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ช่วงหน้าร้อนท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบด้านได้ชัดเจนที่สุด ส่วนหน้าฝนอากาศจะเย็นสบาย ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ส่วนหน้าหนาวก็จะมีอากาศเย็นจับใจ ชมทะเลหมอกได้อย่างงดงามที่สุด แต่ก็จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตา อาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายมากนัก ก็สุดแล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหน ก็วางแผนไปเที่ยวกันได้เลย 5. ใคร ๆ ก็สัมผัสดอยเสมอดาวได้ ไม่ว่าคุณจะเพศไหน อายุเท่าไร ก็สามารถสัมผัสดอยเสมอดาวได้ค่ะ เพราะที่นี่คุณสามารถขับรถขึ้นไปยังด้านบนได้เลย มีลานจอดรถรับรองรถได้ประมาณ 10-15 คัน แล้วเดินต่อขึ้นไปยังจุดชมวิวอีกเพียงไม่กี่ก้าว ซึ่งทางไม่ชันและน่ากลัวเลยค่ะ เด็ก ๆ หรือผู้สูงอายุก็สามารถที่จะขึ้นไปชมวิวได้ สำหรับผู้ที่นั่งรถวีลแชร์ อาจจะลำบากสักนิดสำหรับขึ้นไปที่ลานดูดาว แต่เพียงแค่บริเวณลานจอดรถก็สามารถเห็นความสวยงามของดอยเสมอดาวแล้วค่ะ ที่มา >>> kapook
จุดกางเต็นท์ดอยอ่างขาง รวบรวมอีกหนึ่งตัวเลือกที่พักดอยอ่างขางดี ๆ ที่ไม่ควรพลาด ได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิด นอนมองหมอก นับดวงดาว ดีต่อใจสุด ๆ พอเข้าสู่ฤดูหนาวการท่องเที่ยวภูเขาก็จะเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะในทางภาคเหนือที่มีนักท่องเที่ยวแวะไปเยี่ยมเยียนกันอย่างคับคั่ง ซึ่งดอยอ่างขางก็เป็นอีกหนึ่งยอดดอยที่น่าสนใจ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม จนทำให้ช่วงหน้าหนาวในแต่ละปี ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมอย่างล้นหลาม นั่นก็ทำให้บ้านพักต่าง ๆ โดนจองเต็มตั้งแต่ช่วงกลางปี อ๊ะ ๆ แต่ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ค่ะ สำหรับใครที่อยากไปสัมผัสความสวยงามของดอยอ่างขางในช่วงหน้าหนาวจริง ๆ นั่นก็คือการนอนเต็นท์ ซึ่งรอบ ๆ บริเวณสถานีเกษตรหลวงอ่างขางก็มีจุดกางเต็นท์หลากหลายจุด วันนี้เราจึงได้รวบรวมจุดกางเต็นท์ดอยอ่างขางมาไว้ให้ที่นี่แล้วค่ะ จะมีจุดไหนบ้าง ไปดูกันเลย 1. ลานกางเต็นท์ป่าสน ลานกางเต็นท์ป่าสน จะตั้งอยู่ก่อนถึงสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะบริเวณนี้สามารถมองเห็นวิวของทะเลหมอกได้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีร่มสนให้ความร่มเย็น และมีร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งห้องน้ำอยู่ในบริเวณนี้ 2. จุดกางเต็นท์ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล พื้นที่ในส่วนนี้จะเป็นลานกว้าง ๆ และเป็นพื้นที่ของทหาร แต่ขอบอกว่าวิวสวยแจ่มไม่แพ้จุดกางเต็นท์อื่น ๆ เช่นกัน และยังสามารถมองเห็นวิวของภูเขาฝั่งเมียนมา ยามเช้าอากาศที่นี่จะหนาวเย็นมาก นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมรอบ ๆ ฐานปฏิบัติการบ้านนอแลและบริเวณแปลงผัก แปลงสตรอว์เบอร์รีของชาวบ้านได้อีกด้วย 3. จุดชมวิวบ้านขอบด้ง จุดชมวิวบ้านขอบด้ง เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพราะบริเวณนี้จะสามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสวยงามสุด ๆ อากาศก็จะเย็นสบาย มีสายหมอกมาทักทายให้เห็นกันเกือบทุกเช้า 4. ลานกางเต็นท์หน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ หน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ อยู่ก่อนถึงทางเข้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางไม่ไกลค่ะ ตั้งอยู่ในหุบเขา วิวอาจจะไม่ได้สวยมากนัก แต่รับรองว่าบรรยากาศเงียบสงบสุด ๆ นักท่องเที่ยวไม่วุ่นวาย สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ใครที่ชอบนอนเงียบ ๆ ยามค่ำคืน ไม่ต้องแย่งห้องน้ำกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวค่ะ 5. จุดกางเต็นท์ฐานปฏิบัติการอ่างขาง จุดกางเต็นท์ฐานปฏิบัติการอ่างขาง จะอยู่ใกล้กับจุดชมวิวม่อนสน ในจุดนี้จะเป็นลานกว้าง มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ อยู่ไกลจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขางเล็กน้อย แต่มีจุดชมวิวที่สวยงาม สะดวกในเรื่องห้องน้ำ บรรยากาศเงียบสงบ ไม่วุ่นวายเท่ากับจุดชมวิวอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้กับสถานีเกษตรฯ และยังมีความปลอดภัย เพราะอยู่ในพื้นที่ทหาร ที่มา >>> kapook
เมื่อถึงคราวฤดูฝน สายฝนที่ตกลงหลายคนอาจรู้สึกรำคาญในความเฉอะแฉะ ไปไหนมาไหนไม่สะดวก แต่ถ้าเป็นสำหรับขาเที่ยวทั้งหลาย อาจมองว่านี่คือช่วงเวลานาทีทอง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติด้วยแล้ว น่าจะถูกใจอยู่ไม่น้อย เพราะช่วงนี้ธรรมชาติจะเขียวขจีอย่างเต็มที่ แต่ถ้าจะให้ดี เราแนะนำให้หน้าฝนนี้ ลองมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติ กันค่ะ รับรองเลยว่าคุณจะได้เสพธรรมชาติแบบเต็ม ๆ แต่จะมีที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติหน้าฝนที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ตามเรามาเช็กอินพร้อมกันเลย 1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ มีอะไรดีช่วงหน้าฝน : ถ้าใครมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ช่วงหน้าฝน เราแนะนำให้คุณได้เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ "อ่างกา" ตั้งอยู่บริเวณยอดดอยอินทนนท์ บนระดับความสูง 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้บริเวณนี้มีหมอกปกคลุม และอากาศเย็นสบายเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปลายฤดูฝน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความสมบูรณ์ของต้นไม้นานาชนิด เช่น ข้าวตอกฤาษี, กุลาบพันปี, มอสส์, เฟิร์น และนกอีกหลากหลายสายพันธุ์ เรียกได้ว่าเที่ยวเพลินได้ทั้งวันเลยทีเดียวค่ะ 2. อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และอุทยานแห่งชาติไทรทอง จังหวัดชัยภูมิ มีอะไรดีช่วงหน้าฝน : ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมของทุกปี ในจังหวัดชัยภูมิมีทุ่งดอกกระเจียวอยู่ 2 แห่ง คือ ทุ่งดอกกระเจียวป่าหินงาม และอุทยานแห่งชาติไทรทอง ช่วงเวลาแนะนำในการชมดอกกระเจียวคือช่วงเวลาเช้า นักท่องเที่ยวจะได้พบกับความสวยงามของทุ่งดอกกระเจียวสีชมพู ออกดอกบานเคล้าละอองฝน และแต่งแต้มด้วยละอองม่านหมอกบาง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเดินถ่ายรูปกันได้อย่างเพลิน ๆ 3. อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ มีอะไรดีช่วงหน้าฝน : เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวสายรักธรรมชาติ ในช่วงที่สายฝนโปรยปรายลงมาแบบนี้ ลองใครได้มาเที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความเขียวขจีของพรรณไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ขึ้นอยู่ตามทุ่งหญ้า โดยเฉพาะบริเวณป่าสน ซึ่งในฤดูแล้งทุ่งหญ้าใต้ต้นสนจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลแก่ พอถึงฤดูฝนใหม่ทุ่งหญ้าเหล่านี้ก็จะกลับเขียวอีกครั้งหนึ่ง เป็นความสวยงามของธรรมชาติที่ยากเกินบรรยาย 4.อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีอะไรดีช่วงหน้าฝน : พลาดไม่ได้กับการเที่ยว "เขื่อนเชี่ยวหลาน" หรือ "เขื่อนรัชชประภา" พื้นที่ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ปกคลุมไปด้วยป่าดิบชื้น เป็นภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน จริง ๆ แล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าใครอยากเห็นความเขียวขจีของธรรมชาติ ก็ต้องเป็นช่วงหน้าฝนเท่านั้น นักท่องเที่ยวจะสนุกไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการเที่ยวชมถ้ำ, น้ำตก, ล่องแก่ง, เดินป่า, ดูนก และชมความสวยงามของธรรมชาติยามเช้า บอกเลยว่าสวยงามมาก ๆ ที่มา >>> kapook
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เปิดให้นักท่องเที่ยวพิชิตยอดดอยภูกระดึง วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 31 พฤษภาคม 2561 ชมความงดงามของภูกระดึงและความสวยงามของผืนป่าครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ใครที่กำลังตั้งใจอยากจะไปถ่ายภาพคู่กับป้ายนี้กันสักครั้งในชีวิต โอกาสดีในปีนี้มาถึงแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึงเตรียมเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชม ไปสัมผัสความสวยงามของป่าเขาและอากาศหนาวเย็นที่ภูกระดึงกันแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึง พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 31 พฤษภาคม 2561 หลังจากที่ปิดเพื่อให้ป่าไม้และธรรมชาติได้ฟื้นตัว และหลีกเลี่ยงช่วงฤดูฝน ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยว โดยตลอดฤดูกาลท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจะได้พบกับความงดงามของธรรมชาติช่วงปลายฝนต้นหนาว ยาวไปจนถึงปลายฤดูร้อนเลยทีเดียว สำหรับยอดภูกระดึงนั้น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ซึ่งจะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 9,050 เมตร ให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปพิชิตและเที่ยวชมธรรมชาติสวย ๆ ด้านบนยอดภู โดยเฉพาะหน้าหนาวที่บริเวณผาต่าง ๆ บนยอดภูจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้อย่างสวยงามสุด ๆ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมบุคคล คนไทยผู้ใหญ่ราคา 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท หากนำเต็นท์ขึ้นไปเองมีค่าบำรุงสถานที่ท่านละ 30 บาท/คืน ถ้าเช่าเต็นท์ของอุทยานราคา 150 บาท นอนได้ 2 ท่าน และราคา 200 บาท นอนได้ 3 ท่าน ค่าเช่าหมอน 10 บาท ผ้ารองนอน 20 บาท ถุงนอน 30 บาท ค่าลูกหาบกิโลกรัมละ 30 บาท ถ้าอยากสัมผัสอากาศหนาวเย็นจับใจ ได้ชมใบเมเปิลสีแดงท่ามกลางน้ำตกสวยเขียวขจี ชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาแหวกทะเลหมอกสีขาวผ่องอย่างงดงาม ฤดูหนาวและร้อนนี้ต้องไม่พลาดไปพิชิตภูกระดึงกัน เซลฟี่มาฝากกันด้วยนะ ที่มา >>> kapook
เชียงราย จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ หลายคนดั้นด้นพาตัวเองผ่านโค้งนับร้อยนับพันโค้ง เพื่อขึ้นมาเจอกับภาพความสวยงามของธรรมชาติในอุดมคติ ภาพดอกหญ้า บ้านที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่น่ารัก "บ้านดินอาข่า" ณ หมูบ้านหล่อโย จังหวัดเชียงราย ช่วงเวลาที่คุณเข้าพักที่นี่ คุณจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเวลาชีวิตเดินช้าลงชั่วขณะ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พบวิวบรรยากาศรอบหมู่บ้านหล่อโย เรียนรู้วิถีชุมชนชาวอาข่า และนอนหลับฝันหวานในบ้านดิน ท่ามกลางหมู่ดาวนับพัน เหล่านี้เป็นเหมือนภาพในฝันของนักท่องเที่ยวทุกคน ชักเริ่มอยากเห็นแล้วใช่ไหมว่า ภาพในฝันที่ว่าจะสวยงามมากแค่ไหน ? อย่ารอช้าตามไปดูกันเลยค่ะ ที่มา >>> kapook
บางกระเจ้า สมุทรปราการ ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ สถานที่ฟอกปอดที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนแบบชิล ๆ เพราะเดินทางมาไม่ไกลก็ได้เจอกับธรรมชาติสีเขียว ที่สำคัญมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้เราทำเพียบ แต่มาถึงบางกระเจ้าทั้งที ที่นี่มีจุดเช็กอินอะไรที่เราไม่ควรพลาดบ้าง วันนี้เรามีมาฝาก เอาไว้ใครมีโอกาสไปเที่ยวบางกระเจ้าครั้งหน้าจะได้ไปเช็กอินกันให้ถึงที่ จุดเช็กอินที่ 1 วัดบางน้ำผึ้งนอก แวะสักการะหลวงพ่อใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบางน้ำผึ้งต่างให้ความเคารพนับถือ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมอุโบสถเก่าแก่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พร้อมด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังให้เราได้ชื่นชมความงามของฝีมือช่างโบราณ จุดเช็กอินที่ 2 ตลาดบางน้ำผึ้ง ใครมาเที่ยวบางกระเจ้าแล้วพลาดไม่แวะเช็กอินที่ "ตลาดบางน้ำผึ้ง" ก็เหมือนมาไม่ถึง อีกทั้งยังเป็นตลาดใหญ่หนึ่งเดียวในบางกระเจ้า ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน ที่ต่างเดินทางมาจับจ่ายใช้สอย (เปิดบริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่ติดกับวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-14.00 น.) จุดเช็กอินที่ 3 วัดพราหมณ์ มหาเทวาลัย จุดเช็กอินแห่งใหม่ของบางกระเจ้า ใครที่รู้ตัวว่าชอบทำบุญ ลองแวะจุดเช็กอิน ณ วัดพราหมณ์ มหาเทวาลัย นี้ดู อยู่บริเวณวัดราษฎร์รังสรรค์ ก่อนถึงสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ เมื่อเข้าไปข้างใน จะพบกับองค์พิฆเนศองค์ใหญ่ สูงกว่า 9 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางความเงียบสงบ และยังเป็นองค์พิฆเนศที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย จุดเช็กอินที่ 4 สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ อีกหนึ่งจุดที่นักปั่นส่วนใหญ่ต้องแวะมาเช็กอิน ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ทั้งสงบและร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาชนิด ตลอดระยะทางของการปั่น นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ระบบนิเวศทางธรรมชาติไปด้วยในตัว กิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือไม่ก็ขี่จักรยานชิล ๆ พลาดไม่ได้กับไฮไลท์ของการมาเที่ยวสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ที่บริเวณ "หอดูนก" เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักดูนกที่ไม่ต้องออกไปต่างจังหวัดไกล ๆ เหล่านี้เป็นมุมถ่ายรูปเด็ด ที่เรามักเห็นตามโซเชียลต่าง ๆ จุดเช็กอินที่ 5 Bangkok Tree House จุดเช็กอินสุดฮิตอีกหนึ่งแห่งของบางกระเจ้า ที่ให้บริการทั้งในส่วนของคาเฟ่และที่พัก โดดเด่นด้วยการตกแต่งที่เน้นในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ใช้วัสดุไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวน้อยใหญ่ เป็นที่หลบหลีกซ่อนเร้นตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลวงที่คุณเองก็คาดไม่ถึง ที่มา >>> kapook
1. หาดนางรำและหาดนางรอง มีลักษณะเป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องกัน หาดสวย น้ำใส โดย "หาดนางรำ" เป็นหาดที่คึกคักด้วยบรรยากาศของนักท่องเที่ยว ด้วยเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ห้องอาบน้ำ พร้อมด้วยกิจกรรมเล่นน้ำอีกเพียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ ระหว่างหาดนางรำและหาดนางรองมีรูปปั้นพระอภัยมณีและผีเสื้อสมุทร สามารถเดินทะลุระหว่าง 2 หาดได้ ขณะที่ "หาดนางรอง" ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นชายหาดที่อยู่ติดกัน แต่บรรยากาศค่อนข้างแตกต่างกัน ทั้งด้านความร่มรื่น ความเป็นธรรมชาติ และความเป็นส่วนตัว อยู่ที่ว่านักท่องเที่ยวชอบสไตล์แบบไหนก็เลือกไปชิลที่หาดนั้นได้เลย 2.สวนนงนุช หนึ่งในสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของสัตหีบ ภายในประกอบด้วยบ้านทรงไทย สวนดอกไม้ ไม้ประดับนานาชนิด มาเที่ยวที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับสีสันของธรรมชาติ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไว้รองรับนักท่องเที่ยว ทั้งการบริการเรือชนิดต่าง ๆ ให้เช่าพาย เยี่ยมชมความน่ารักของสัตว์เลี้ยง ชมศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรม การฟ้อนรำพื้นบ้าน การแสดงช้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้รู้สึกประทับใจเมื่อมาเที่ยวชมความงดงามทั้งหมดของสวนแห่งนี้ 3. Minosa Pattaya แหล่งช้อปปิ้ง เดินเล่น ที่จำลองแบบเมือง Colmar (โกลมาร์) เมืองชนบทใกล้ชายแดนประเทศฝรั่งเศส-เยอรมนี และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมสีสันสดใส และโอบล้อมด้วยบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติก พลาดไม่ได้กับการชม Mimosa Show การแสดงคาบาเรต์โชว์บนลานน้ำพุ รวมถึงเดินเล่นและกินอาหารอร่อย ๆ เพราะที่นี่อัดแน่นทั้งร้านอาหารไทย อาหารนานาชาติ และร้านขนมหวานอร่อย ๆ ที่พร้อมให้บริการอย่างครบครัน รับรองว่ามาที่นี่ได้รับแต่ความสุขและสนุกอย่างแน่นอน 4. สวนน้ำ Cartoon Network Amazone สวนน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ ใกล้หาดบางเสร่ ภายในสวนน้ำจำลองบรรยากาศป่าฝนอเมซอน ที่พร้อมสร้างความสนุกสนานร่วมกับบรรดากองทัพการ์ตูนฮีโร่จากซีรีส์การ์ตูนดังมากมาย เช่น Ben 10, The Powerpuff Girls, Johnny Bravo และ The Amazing World of Gumball เป็นต้น และสนุกไปกับเครื่องเล่นนานาชนิด ทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่มีการจำลองให้เหมือนคลื่นทะเล สไลเดอร์สปีดเรซซิ่ง ล่องแพ เครื่องเล่นป้อมปราการน้ำในระบบอินเตอร์แอ็คทีฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ที่มา ...kapook
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |