หลังจากการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องหยุดชะงักไปพักใหญ่ๆ เนื่องจากการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนนี้สถานการณ์ในบ้านเราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งมีการปลดล็อคให้ออกไป เที่ยวไทย เที่ยวต่างจังหวัดกันได้แล้ว แต่ยังอยู่ในการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด สำหรับใครที่อยากจะออกไปเปลี่ยนบรรยากาศหลังจากกักตัวอยู่บ้านนานๆ วันนี้ มีที่เที่ยวในเมืองไทยมาแนะนำ ไปสัมผัสธรรมชาติชิลๆ สูดอากาศบริสุทธิ์กันที่ จังหวัดน่าน ดินแดนแห่งอารยธรรมล้านนาตะวันออก มาดู 5 เหตุผลดีๆ ที่สายเที่ยวควรไป เที่ยวน่าน สักครั้ง บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง! 1.ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ หากกำลังตามหาความสงบท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้ จังหวัดน่านยังคงดูแลรักษาสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเหล่านี้ไว้ได้เป็นอย่างดี เนื่องด้วยจังหวัดน่านอยู่ทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย มีลักษณะทางภูมิศาตร์เป็นแนวเทือกเขาสูง พื้นที่โดยส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ ดังนั้นธรรมชาติที่นี่จึงอุดมสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ใครชอบ เที่ยวไทย แบบใกล้ชิดธรรมชาติต้องหลงรักที่นี่แน่นอน สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำก็คือ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน, ดอยเสมอดาว, ดอยขุนสถาน, ดอยภูคา, น้ำตกสะปัน, อุ่นไอมาง, ม่อนเคียงดาว, ถนนลอยฟ้า 2.อากาศอันแสนบริสุทธิ์ ใครวางแผนท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวบอกเลยว่ามา เที่ยวน่าน นั้นเหมาะมากๆ ช่วงเที่ยวแนะนำก็คือ ประมาณเดือนตุลาคมถึงมกราคมของทุกปี เนื่องด้วยจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันพิษทำลายสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ที่นี่อากาศดี หายใจได้อย่างเต็มปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอย่างการขึ้นดอย (ภูเขา) ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ชมทะเลหมอก และสัมผัสอากาศหนาวที่แท้จริง กิจกรรมแนะนำก็คือ กางเต็นท์นอนดูดาวและตอนเช้าก็ตื่นมาชมทะเลหมอก บรรยากาศชวนฝันและโรแมนติกสุดๆ 3.เมืองแห่งพุทธศาสนา รุ่งเรืองด้วยวัดวาอาราม ก่อนอื่นขอแนะนำ 9 วัดในตัวเมืองน่าน ที่เมื่อไป เที่ยวน่าน แล้วไม่ควรพลาด เพราะถ้าไม่ไปก็เหมือนมาไม่ถึงจังหวัดน่านเลยทีเดียว ได้แก่ วัดภูมินทร์ ชมภาพกระซิบรักบรรลือโลก, วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร, วัดมิ่งเมือง เป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองของจังหวัดน่าน, วัดศรีพันต้น, วัดสวนตาล สักการะพระเจ้าทองทิพย์, วัดพระธาตุเขาน้อย มีพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่, วัดหัวข่วง, วัดพระธาตุแช่แห้ง และ วัดน้อย ที่มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ทั้ง 9 วัดนี้นับเป็นวัดสำคัญในตัวเมืองน่านที่มีประวัติศาตร์ยาวนาน อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านได้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล 4.อาหารเลิสรส ของฝากชวนลอง ไป เที่ยวน่าน เมืองเหนือทั้งที ก็ต้องลิ้มรสอาหารเหนือ สำหรับเมนูพื้นบ้านของจังหวัดน่านนั้นมีหลายเมนู ที่เด่นๆ เลยก็จะเป็น ลาบหมู, ไก่ทอดมะแขว่น, แกงฮังเล, น้ำพริกหนุ่มแคบหมู และข้าวซอยไก่ รสชาติของแต่ละเมนูเป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้ไปเยือนน่านก็จะต้องตระเวนชิมกันให้ได้ และไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น ยังมีกาแฟซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวน่านภาคภูมิใจอีกด้วย น่านเป็นแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟชั้นดีจากชาวเขา ซึ่งกาแฟขึ้นชื่อของเมืองน่านก็คือ กาแฟภูฟ้า เป็นกาแฟในโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นอกจากนี้ ของฝากขึ้นชื่อของน่านก็จะเป็น ส้มสีทอง, มะไฟจีน, ข้าวแต๋นน้ำแตงโม และข้าวซี่ ถ้าได้ไปเที่ยวอย่าลืมซื้อของดีติดมือกลับบ้านด้วยนะ 5.ชีวิตแสนสโลว์ไลฟ์ เที่ยวน่านแบบเนิบๆ หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ฟังเสียงของหัวใจไปให้ธรรมชาติโอบกอดที่จังหวัดน่าน สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านที่ยังคงเป็นเมืองเหนือกาลเวลา แม้วันเวลาจะหมุนไปแต่วิถีชีวิตชาวน่านยังคงไม่วุ่นวายเหมือนสังคมเมืองใหญ่ ด้วยเพราะชาวน่านเป็นคนน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรีต้อนรับนักท่องเที่ยว ทำให้น่านเป็นอีกจังหวัดที่ยังคงเอกลักษณ์การ เที่ยวไทย แบบเนิบๆ ไม่เร่งรีบ และไม่ว่าใครที่ได้ไปสัมผัสต่างก็หลงรักและอยากกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Mushroom Travel
0 Comments
แนะนำเกร็ดการท่องเที่ยวภูเขาทอง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ภูเขาทองเปิด-ปิดอย่างไร เดินทางมาด้วยวิธีใดได้บ้าง ต้องเดินขึ้นบันไดกี่ขั้น การแต่งกายต้องเป็นแบบไหน เรามีคำตอบ ถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวย่านพระนคร เราจะไม่พูดถึงภูเขาทองไม่ได้ ด้วยเป็นพุทธสถานที่โดดเด่น ตั้งอยู่สูงสง่าใจกลางเมืองใหญ่ มีเจดีย์สีทองอร่ามส่องประกายสะท้อนแสงวิบวับทั้งยามกลางวันและกลางคืนอยู่ด้านบนสุด กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างอยากมาเช็กอิน และสำหรับใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวชมเลยสักครั้ง หรืออาจจะไปเที่ยวมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของภูเขาทอง วันนี้เรามาทำความรู้จักกับที่นี่ให้มากขึ้นไปด้วยกัน ที่ตั้งของภูเขาทอง ภูเขาทอง ตั้งอยู่ภายในเขตของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ติดกับคลองมหานาค ในพื้นที่แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ อยู่ห่างจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ 300 เมตร โลหะปราสาท ประมาณ 500 เมตร อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ราว ๆ 700 เมตร และอยู่ห่างจากบริเวณท้องสนามหลวง เพียงแค่ราว ๆ 1.5 กิโลเมตร ความเป็นมาของภูเขาทอง หรือพระบรมบรรพต ภูเขาทอง เริ่มสร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์มีพระราชดำริให้สร้างพระปรางค์ย่อมุมไม้สิบสองขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร แต่ด้วยพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นดินเลนโคลนทำให้รองรับน้ำหนักของโครงสร้างไม่ไหว องค์พระปรางค์จึงพังลงมา แต่ยังไม่ทันสร้างแล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 3 เสียก่อน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างใหม่โดยเปลี่ยนรูปแบบให้กลายเป็นภูเขาจำลองสูง แล้วมีเจดีย์อยู่ด้านบนแทน มีบันไดเวียนขึ้น-ลง 2 ทาง พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง และเปลี่ยนชื่อจากภูเขาทองเป็นพระบรมบรรพต แต่การก่อสร้างก็ยังไม่เสร็จสิ้นเมื่อรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต วัดภูเขาทอง กรุงเทพฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ รวมความสูงจากฐานจนถึงยอดพระเจดีย์ได้ 77 เมตร และมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศอินเดียมาไว้ในองค์พระเจดีย์เมื่อ พ.ศ. 2422 และได้เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ในช่วงเทศกาลลอยกระทง มีการปฏิบัติสืบกันมาจนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุภูเขาทอง หรืองานวัดภูเขาทองนั่นเอง พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์ บรรจุไว้ในผอบที่มีอักษรพราหมี หรือเมารยะ จารึกไว้ว่า พระบรมสารีริกธาตุนี้เป็นของพระพุทธเจ้า (สมณโคดม) ตระกูลศากยราช ได้รับแบ่งปันในเวลาถวายพระเพลิงพุทธสรีระ มีการขุดพบเมื่อ พ.ศ. 2441 ณ เมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดีย และทางรัฐบาลอินเดียก็ได้น้อมเกล้าฯ น้อมถวายแด่รัชกาลที่ 5 และพระองค์ก็โปรดให้บรรจุไว้ที่พระบรมบรรพต เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2442 - การจะขึ้นไปนมัสการองค์เจดีย์บนยอดภูเขาทอง จะต้องเดินขึ้นบันไดขั้นเล็ก ๆ ทั้งหมด 344 ขั้น - ทางขึ้นหลักจะอยู่ติดกับส่วนของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แต่จะมีประตูทางเข้าทั้งจากฝั่งถนนจักรพรรดิพงษ์และถนนบริพัตร สามารถเดินวนมายังทางขึ้นหลักได้ - บริเวณทางขึ้นจะมีดอกไม้ธูปเทียนจำหน่าย สามารถซื้อขึ้นไปไหว้พระได้ - ขาขึ้น ทางเดินช่วงแรกจะมีต้นไม้ให้ร่มเงาบ้าง แต่พอเลยบันไดราว ๆ 130 ขั้นขึ้นไป จะเป็นทางเปิดโล่ง ถ้าไปช่วงกลางวัน ควรใส่เสื้อแขนยาว ใส่หมวก หรือกางร่ม เพราะแดดร้อนมาก - พอขึ้นไปถึงด้านบนจะเป็นส่วนของภายในพระบรมบรรพต มีพระประธาน คือ พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปปางทรงเครื่องจักพรรดิสีทองสว่างประดิษฐานอย่างสง่างามอยู่ด้านหน้า พร้อมด้วยพระพุทธรูปที่สำคัญอีกหลายองค์ ในจุดนี้เป็นบริเวณในอาคาร อากาศจะเย็นสบาย สามารถมองเห็นวิวได้โดยรอบเช่นกัน - สำหรับพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ประดิษฐานอยู่บนยอดพระเจดีย์สีทองใหญ่ด้านบนสุด จากบริเวณโถงใต้ฐานพระเจดีย์จะมีบันไดเล็ก ๆ ให้เดินขึ้น-ลงคนละฝั่ง - ด้านบนสุดบริเวณฐานพระเจดีย์สีเหลืองทอง มีจุดให้นั่งไหว้พระขอพร เป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้างเช่นกัน ถ้าไปช่วงกลางวันก็ต้องเตรียมเสื้อแขนยาว หมวก ร่ม ให้พร้อม - โดยรอบของพระฐานเจดีย์จะสามารถชมวิวกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา มองเห็นเมืองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา วิวสวยตลอดทั้งวัน ยิ่งถ้ามาช่วงแดดร่มลมตกลมก็จะพัดเย็นสบาย ได้เห็นวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วย - ทางลงของภูเขาทองจะอยู่คนละฝั่งกับทางที่ขึ้นมา มองป้ายให้ชัดเจนก่อนที่จะเดินลง เพื่อที่จะไม่ไปสวนทางกับผู้ที่เดินขึ้น อาจจะเป็นอันตรายได้ในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก - ห้องน้ำของภูเขาทองจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางขึ้น แต่เมื่อเดินลงก็จะเจอกับบริเวณห้องน้ำพอดี งานวัดภูเขาทอง ได้ชื่อว่าเป็นงานวัดที่เก่าแก่มากที่สุดของกรุงเทพฯ เริ่มจัดครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 ตรงกับช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยจะเป็นงานรื่นเริง มีมหรสพ ดนตรี ร้านค้า ร้านอาหาร มาออกร้านกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศสนุกสนาน ไฮไลต์ของงานจะอยู่ที่การห่มผ้าแดงให้กับองค์พระเจดีย์และการเปิดให้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุจนถึงช่วงกลางดึก สามารถติดตามการจัดงานวัดภูเขาทองในแต่ละปีได้ที่ เฟซบุ๊ก วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร การแต่งกายไปเที่ยวชมภูเขาทอง ด้วยเป็นพุทธสถาน จึงต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย โดยควรสวมกระโปรงหรือกางเกงที่ยาวเลยเข่าลงไป เสื้อมีแขน ไม่รัดรูปจนเกินไปนัก เวลาเปิด-ปิด ภูเขาทอง เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. แต่ช่วงเทศกาลสำคัญ ก็อาจจะขยายเวลาเปิดจนถึงกลางดึก ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ไม่มีค่าเข้าชม สามารถเข้าเที่ยวชมได้เลยฟรี ! แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติ จะมีค่าเข้าชมท่านละ 50 บาท การเดินทาง หน้าวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ด้านถนนจักพรรดิ ที่ป้ายรถเมล์ ภูเขาทอง 1 มีรถโดยสารประจำทางวิ่งผ่าน ได้แก่ สาย 8, ปอ.8, 15, 47 และ 49 อีกฝั่งถนนที่ป้ายรถเมล์ ภูเขาทอง 2 มีรถโดยสารประจำทางวิ่งผ่าน ได้แก่ สาย 8, ปอ.8, 15, 37, 47 และ 49 หรืออีกหนึ่งวิธี ก็คือ การนั่งเรือมาตามคลองมหานาค จะไปขึ้นที่ท่าเรือคลองแสนแสบที่ประตูน้ำก็ได้ หรือจะมาขึ้นที่ท่าเรือโบ๊เบ๊ก็ได้เช่นกัน โดยจะมาลงที่ป้ายสุดท้าย คือ ป้านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ แล้วเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร ส่วนถ้าใครขับรถยนต์ส่วนตัวมาก็สามารถจอดได้บริเวณลานวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วันหยุดใครอยากหาที่เที่ยวไหว้พระทำบุญ เสริมดวง เสริมบารมี พร้อมกับชมวิวกรุงเทพฯ มุมสูงสวย ๆ ก็ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ พอไหว้พระเสร็จแล้วก็ยังสามารถไปเดินเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ บริเวณโดยรอบได้ด้วย :) ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก :travel.kapook ,ททท., onab.go.th, thailandtourismdirectory.go.th
หากพูดถึงทะเลสวยๆ น้ำใสๆ ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ สัตหีบถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมทะเลที่มีธรรมชาติทางทะเลสวยงามและน้ำใสมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งตามเกาะแก่งต่างๆ ในอ่าวแสมสารนั้นเรียกได้ว่ายังคงมีความสมบูรณ์และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยังคงไม่เสื่อมโทรมเนื่องจากได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ซึ่งในวันนี้เราจะพาไปชมความสวยงามของอ่าวแสมสารแห่งนี้กัน กับทริปดำน้ำวันเดย์ทริปอ่าวแสมสาร ไปชมกันว่าความมหัศจรรย์ของท้องทะเลอ่าวไทยนั้นจะสวยงามมากเพียงใด เริ่มต้นการเดินทางเราใช้บริการทัวร์ดำน้ำของ Warasin Resort ที่เปิดเป็นที่พักและให้บริการเรือในการทัวร์ดำน้ำด้วย เรือออกจากท่าเรือส่วนตัวของทาง Warasin Resort แล้วพาเรามุ่งตรงไปที่เกาะแรกในโปรแกรมวันนี้ที่มีชื่อว่า เกาะจวง เกาะจวงแห่งนี้จะมีหาดทรายเล็กเป็นที่เพาะพันธุ์และวางไข่ของเต่าทะเล เป็นเขตหวงห้ามของทหารเรือที่ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะ แต่สามารถมาดำน้ำตื้นบริเวณใกล้ๆ เกาะได้ ต้องบอกเลยว่าเมื่อได้มาถึงเกาะจวงแห่งนี้ภาพแรกที่เราได้เห็นถึงกับทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงเหลือเชื่อว่าทะเลอ่าวไทยใกล้กรุงเทพฯ แค่นี้จะมีน้ำทะเลที่ใสสะอาดมีสีฟ้าราวกับคริสตัลขนาดนี้ ต้องยอมรับเลยว่าธรรมชาติที่นี่งดงามมากจริงๆ เกาะจวงแห่งนี้เป็นเกาะแรกที่ทางทัวร์จะฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ดำน้ำให้แก่นักท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเลยหากคุณเป็นคนดำน้ำไม่เป็นเพราะเจ้าหน้าที่จะคอยดูแลและสอนการดำน้ำเบื้องต้นให้กับเราจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งโลกใต้น้ำบริเวณเกาะจวงนี้จะมีปลาทะเลหลากหลายสายพันธุ์แหวกว่ายมาให้เราได้เห็น และด้วยความใสของน้ำทำให้ยิ่งมองเห็นได้รอบทิศทางโลกใต้น้ำเป็นสีฟ้า ประทับใจตั้งแต่เกาะแรกเลยทีเดียว ต่อจากเกาะจวงซึ่งเหมือนเป็นด่านแรกสำหรับการดำน้ำในวันนี้ ทางทัวร์พาเราไปต่อกันที่เกาะโรงโขนโรงหนังอีกหนึ่งเกาะที่สามารถดำน้ำได้มีธรรมชาติใต้น้ำที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว น้ำทะเลที่นี่เมื่อมองจากบนเรือจะสามารถมองทะลุลงไปเห็นปะการังด้านล่างได้เลย ใสแบบมากๆ แต่สีน้ำทะเลจะแตกต่างออกไปจากเกาะจวง เพราะบริเวณเกาะโรงโขนโรงหนังจะมีน้ำออกสีเขียวมรกตสวยงามไปอีกแบบ สำหรับโลกใต้น้ำนั้นเราได้พบกับปะการังมากมาย และที่สำคัญเจอปลานีโม่ด้วย ถือเป็นความทรงจำที่สวยงามมากๆ และหลังจากนั้นก็ได้เวลามาที่เกาะสุดท้ายของเราในวันนี้นั่นก็คือเกาะยุ้งเกลือ ที่นี่ถือเป็นจุดดำน้ำที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุดใน 3 เกาะนี้เลยก็ว่าได้ เป็นเกาะที่เราชื่นชอบมากๆ ด้านบนเกาะจะมีสภาพแวดล้อมที่ดูแปลกตามากๆ ด้วยโขดหินรูปทรงต่างๆ ที่จัดเรียงกันราวกับงานศิลปะกลางทะเล และโลกใต้น้ำที่ต้องยอมรับเลยว่าสมบูรณ์สุดๆ จริง มีทั้งดอกไม้ทะเล ปะการังเขากวาง หอยมือเสือ และที่สำคัญมีปลาทะเลเยอะมากๆ รวมไปถึงเจ้าปลานีโม่หลากหลายสีสันด้วย เรียกได้ว่านี่คือสวรรค์ของนักดำน้ำจริงๆ และสำหรับใครที่กลัวว่าไปดำน้ำแล้วจะไม่ได้รูปสวยๆ ใต้น้ำ ทางทัวร์มีบริการถ่ายรูปใต้น้ำให้กับนักท่องเที่ยวฟรีด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะมั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้รูปภาพสวยๆ คู่กับนีโม่ และธรรมชาติใต้น้ำแบบที่ว่าเอาไปโพสต์ในโซเชี่ยลกันแทบจะไม่ทันแน่อน จบไปแล้ว 1 วันกับทริปการดำน้ำอ่าวแสมสาร ที่นี่เป็นท้องทะเลที่มหัศจรรย์มากๆ และที่สำคัญยังไม่ค่อยจะมีใครรู้จักมากนัก เกาะแก่งต่างๆ ยังคงสวยงามอุดมสมบูรณ์ มีโลกใต้น้ำที่มีสีสัน น้ำทะเลสีฟ้าใสไม่แพ้ทะเลทางใต้ แถมยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ถูกมากๆ ด้วย หน้าร้อนนี้หากใครยังไม่รู้จะพาครอบครัวหรือคนรักไปเที่ยวที่ไหนกันดี ขอแนะนำเลยว่าอ่าวแสมสารคือจุดหมายที่ดีมากๆ สำหรับคุณ ข้อมูลเพิ่มเติม
- ติดต่อทัวร์ดำน้ำอ่าวแสมสาร : Warasin Resort - โทร : 038 431 157 , 081 762 7620 - Line : @warasinresort - ราคาทัวร์ : เหมาลำเรือ Speed Boat ราคา 3,500 บาท (ไม่เกิน 6 คน) เกินจาก 6 คน เพิ่มคนละ 600 บาท - เวลาออกเรือ : เรือมี 3 รอบต่อวัน 8:00, 11:00, 14:00 - นอกจากนี้ทาง Warasin Resort ยังมีให้บริการดำน้ำแบบ Scuba ด้วย ใครสนใจสามารถติดต่อไปได้ 081 762 7620 ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P. ฝนตกชุกในช่วงนี้ที่จังหวัดพิษณุโลก ส่งผลดีทำให้ลำน้ำเข็กหรือแม่น้ำวังทองเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ล่องแก่งน้ำน้ำเข็กนักท่องเที่ยวสามารถมาท่องเที่ยวล่องแก่งผจญภัยบนสายน้ำชมป่าไม้ที่สวยงาม
หลังจากในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและใกล้เคียงมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแหล่งต้นน้ำเทือกเขาเพชรบูรณ์และอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ทำให้ปริมาณน้ำในลำน้ำเข็กเพิ่มสูงขึ้น อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและสามารถล่องแก่งลำน้ำเข็ก ไปตามเส้นทางและสนุกสนานกับการล่องแก่งผ่านชั้นน้ำตกท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย สามารถมาท่องเที่ยวล่องแก่งลำน้ำเข็กได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวสัมผัสกับสายหมอกที่เขาค้อจังหวัดเพชรบูรณ์ในช่วงเช้า สามารถกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวมาผจญภัยกับสายน้ำได้กับผู้ประกอบการล่องแก่งลำน้ำเข็ก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการล่องแก่งคอยให้บริการนักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่นักท่องเที่ยวจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ผู้ประกอบการกำหนด อาทิเช่น ต้องจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวลงเรือยาง ลำละไม่เกิน 6 คน เพื่อเว้นระยะห่างจากเดิม เคยรับได้มากลำละ 8 คน และไม่อนุญาตให้ร่วมลงเรือกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น และจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สำหรับผู้สนใจ สามารถค้นหาผู้ให้บริการล่องแก่งลำน้ำเข็กได้ในที่อินเตอร์เน็ตหรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักจังหวัดพิษณุโลก หมายเลขโทรศัพท์ 055321280 ในวันเวลาราชการ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P. ข่าวดีสำหรับสายบุญและคอหวยทุกท่าน สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างเกาะคำชะโนดเตรียมที่จะกลับมาเปิดให้เข้าเยี่ยมชมอีกครั้ง ในช่วงวันที่ 20 มิถุนายนนี้
โดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้ -ผู้ที่จะเดินทางเข้าเกาะคำชะโนดจะต้องลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าผ่านทางแอปพลิเคชันตามลิงค์ต่อไปนี้ www.co-news.ga/khamchanod -คำชะโนดจะเปิดและปิด ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. -ในแต่ละวันจะมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว 2,000 คนต่อวัน -แต่ละวันจะแบ่งรอบการเข้าชมเป็นช่วงเช้าและบ่าย โดยจะให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมกันทีละ 3 ชุด 1 ชุดจะมีทั้งสิ้น 50 คน เท่ากับว่า 1 รอบจะมีคนเข้าเยี่ยมชมได้ 150 คน โดยรอบเช้าจะอนุญาตให้เข้าได้สูงสุด 17 ชุด และรอบบ่าย อีก 17 ชุด รวม 34 ชุดต่อวัน -นักท่องเที่ยวต้องเว้นระยะห่างกัน 1.5 เมตร และอยู่ในจุดแต่ละจุดในคำชะโนดได้ไม่เกิน 5 นาที -แต่ละชุดที่เข้าไปในคำชะโนดจะต้องเดินเป็นทางเดียวไม่มีการเดินสวนกันออกมา และแต่ละชุดจะอยู่ในคำชะโนดได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น -สำหรับคอหวยที่เข้ามาเที่ยวคำชะโนด ห้ามสัมผัสลูบคลำเพื่อหาเลขขอหวยเด็ดขาด รวมไปถึงให้ใช้การไหว้แทนการกราบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ -บริเวณต้นมะเดื่อยักษ์ซึ่งเป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญในคำชะโนดจะมีการนำโซ่มาล้อมไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสัมผัสหรือขูดขอเลขเด็ดป้องกันการแพร่ระบาด นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติก่อนที่จะเข้าเที่ยวชมเกาะคำชะโนดดังนี้ 1.นักท่องเที่ยวต้องผ่านจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์ทุกครั้ง 2.นั่งคอยการเข้าเยี่ยมชมเกาะคำชะโนดบริเวณเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น 3.เข้าคิวเตรียมตัวถอดรองเท้าเพื่อเข้าสักการะ 4.เมื่อถึงคิวเข้าสู่เกาะคำชะโนดแล้วให้เดินตามพนักงานพร้อมเว้นระยะห่าง และไม่สัมผัสลูบคลำพญานาคตามราวสะพาน 5.วางพานบายศรีบนโต๊ะ ยืนไหว้ประกอบพิธี และห้ามกราบ ยืนห่างกัน 1-2 เมตร 6.ห้ามสัมผัสลูบคลำหรือโรยแป้งที่ต้นมะเดื่อยักษ์เด็ดขาด 7.บริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ห้ามตักน้ำมาดื่มหรือล้างเนื้อล้างตัวเด็ดขาด 8.เดินตามเส้นทางห้ามเดินกลับออกมาสวนคนที่เพิ่งเข้ามา 9.การเลือกซื้อล็อตเตอรี่ ให้ผู้ซื้อชี้เอาเลขจากผู้ขายแล้วให้ผุ้ขายเป็นคนนำเลขรางวัลนั้นมายื่นให้เอง ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P. วันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งทีก็อยากหา ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ที่ไหนสักแห่ง ออกเดินทางไปพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศ และให้รางวัลตัวเอง หรือจะไปไหว้พระทำบุญ เสริมมงคลให้ชีวิต วันนี้ ก็มีที่เที่ยวมาแนะนำ บอกเลยว่าเหมาะกับสายมูสุดๆ จะพาไปเที่ยวชมและสักการะ องค์เทพหน่าจา ที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี กันค่ะ! ตามไปเที่ยวกันเลย การเดินทาง : ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ตั้งอยู่ที่ ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี บนเส้นทางเลียบชายทะเลจากอ่างศิลาไปเขาสามมุข ไม่ไกลจากหาดบางแสน การเดินทางนั้นก็ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ขับรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถตั้งพิกัดหรือปักหมุดในแผนที่ได้เลย ไม่ยากค่ะ ศาลเจ้าตั้งอยู่ริมถนน มีบริเวณลานจอดรถที่กว้างขวาง เวลาทำการ : จันทร์-ศุกร์ 08.00-17.00 น. และ เสาร์-อาทิตย์ 08.00-18.00 น. ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อแต่เดิมเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ แต่ด้วยความเคารพศรัทธาของชาวบ้านและผู้ที่มากราบไหว้ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าจะให้โชคทางด้านการค้า ทำให้มีผู้คนเข้ามาสักการะมากมาย และก็ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่เรื่อยมา จนในปัจจุบันก็กลายเป็นศาลเจ้าจีนที่ใหญ่โตสวยงามตระการตา อาคารต่างๆ ในศาลเจ้าสร้างด้วยศิลปะแบบจีน มีความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรม รูปปั้นเทวรูป มีองค์เทพเจ้าปางต่างๆ มากมายให้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนใหญ่คนที่มากราบไหว้มักจะมาขอเกี่ยวกับการงาน ให้ประสบความสำเร็จ และเรื่องของสุขภาพ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสถานที่ในการแก้ปีชงอีกด้วย ภายใน ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ เป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ ชั้น 1 เป็นที่ประดิษฐานของ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ซึ่งทรงปณิธานคล้ายคลึงกับพระแม่กวนอิม แต่พระองค์จะต้องโปรดเวไนยสัตว์ที่อยู่ในนรกให้หมด ชั้น 2 เป็นที่ประดิษฐานของ องค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ปางที่จำลองมาจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ชั้น 3 เป็นที่ประดิษฐานของ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกษัตริย์ของเทพทั้งปวง ใครมาสักการะพระองค์ก็จะได้บุญบารมีมาก ชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานองค์พระประธาน หรือ องค์พระศรีศากยมุนีพระพุทธเจ้า องค์พุทธเจ้าอีก 5 พระองค์ แต่บริเวณภายในห้ามถ่ายรูปนะคะ และนอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ไท้ส่วยเอี้ย 60 องค์ รวมถึง องค์เทพจันทรา เทพแห่งความรัก อีกด้วยค่ะ สำหรับ องค์เทพเจ้าหน่าจาไท้จื้อ นั้นมีความเชื่อกันว่า เป็นเทพแห่งความสำเร็จ เป็นผู้ประสาทพรทั้ง 4 ประการ อันได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ผู้ใดทำการสักการะบูชาจะอุดมด้วยโชคทรัพย์มีชัยชนะไปทั่วทุกสาระทิศ และในความพิเศษของปีนี้ วันที่ 25 มิถุนายน 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-13.00 น.จะมีพิธีอาบน้ำทิพย์ดับเคราะห์เสริมดวง และเชิญองค์เทพเจ้าหน่าจาไท้จื้อทรงประทับเพื่อเสริมความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลฤกษ์ ซึ่งพิธีนี้ในหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถือเป็นพิธียิ่งใหญ่ ใครสนใจหรือศรัทธาอยากเข้าร่วมต้องทานอาหารเจในเช้าวันนั้น พร้อมกับนุ่งชุดขาวเพื่อเข้าร่วมงานด้วยนะคะ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Mushroom Travel
วันนี้จะพาทุกคนไปพบกับรีวิวจุดชมทะเลหมอกลับๆ ในจังหวัดตราดที่ทางนักข่าวภูมิภาคของจังหวัดตราดได้ส่งเรื่องมาให้กับเรากับทะเลหมอกบ้านป่าหวายคีรีราษฎร์ ไปดูกันว่าจะสวยงามเพียงใด เห็นหลายคนรีวิวรูปทะเลหมอกสวยๆ ที่ภูทับเบิก เลยกะว่าจะไปภูทับเบิกไปดูทะเลหมอก แต่พอดีไปเห็นรูปภาพทะเลหมอกแถวอำเภอใกล้บ้านในยามเช้า เห็นครั้งแรกแรกก็ตะลึงนิดหน่อย เฮ้ย!! ทะเลหมอกสวยมากๆ ออกเดินทางจากบ้านตอนเช้าประมาณหกโมงครึ่งขับรถยนต์ไปถึงจุดหมายใช้เวลาประมาณ 15 นาที ทีแรกคิดในใจว่าจะมีทะเลหมอกให้เห็นหรือเปล่า แต่พอไปถึงก็เห็นวิวทะเลหมอกจริงๆ เดินทางขึ้นเขาไปบนจุดชมวิวเห็นน้องๆ มากางเต็นท์นอน 2-3 หลัง ดูสนุกสนาน จากนั้นเริ่มหาที่จอดรถแล้วหาจุดถ่ายภาพสวยๆ พร้อมจิบกาแฟไปเบาๆ ฟินเลย ขอบอกลาทริปภูทับเบิกไปก่อน แล้วปักหมุดแจ้งพิกัด ให้เดินทางตามเส้นทางมาน้ำตกป่าหวาย ม.3 ต.คีรีราษฏร์ พอขับรถเลยผ่านหมู่บ้านป่าหวายมาหน่อย จะมีศูนย์พัฒนาเด็กบ้านป่าหวายอยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายซอยคอนกรีตข้างศูนย์ฯ ขึ้นเขาไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะถึงจุดชมวิวแล้วจ้า หมายเหตุ 1.รถยนต์ รถจักรยานยนต์สามารถเข้าไปได้ 2. ถนนจะเป็นคอนกรีตเลนแค่เดียวต้องขับด้วยความระมัดระวัง สภาพบรรยากาศ ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน จะเห็นวิวทะเลหมอกสวยๆได้ในช่วงเวลาประมาณ 6-7 โมงเช้า (ทั้งนี้แล้วแต่สภาพอากาศของแต่ละวันด้วยนะ คะ ไม่คอมเฟริมว่าจะมีทะเลหมอกทุกวัน) พอหลังจากเลยเวลาดังกล่าว พระอาทิตย์ขึ้นหมอกก็เริ่มจางหาย ใครเดินไปสายอาจจะพลาดวิวทะเลหมอกได้นะคะ แต่ก็สามารถไปดูแสงตะวันขึ้นยามเช้าก็ได้บรรยายกาศไปอีกแบบและที่สำคัญ ขอความร่วมมือสำหรับคนที่จะเดินทางไปยังจุดชมวิวทะเลหมอกบ้านป่าหวายให้ช่วยกันรักษาความสะอาดกันด้วยนะคะ เพื่อธรรมชาติที่ยังคงอยู่สวยงามและอีกอย่างหนึ่งที่แอดอยากบอกก็คือพื้นที่จุดชมวิวเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้านแถวนั้น ขอความร่วมมือถ้าไปถ่ายรูปหรือชมวิวก็อย่าไปทำลายพืชผลเกษตรเขานะคะ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหน้าฝน-ปลายฝนต้นหนาวสวย ๆ กับนาข้าวขั้นบันไดวิวสวยจากทั่วไทย ที่กำลังเขียวขจีงดงามละลานตาทั่วหุบเขาทางภาคเหนือ ควรไปชมกันสักครั้ง ถ้าจะให้ชี้เป้าสถานที่ท่องเที่ยวหน้าฝนและปลายฝนต้นหนาว สถานที่แรก ๆ ที่นึกถึงก็คงเป็นที่เที่ยวประเภทป่าเขาลำเนาไพร แต่ไฮไลต์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ 2 ฤดูกาลนี้ที่อยากจะชวนให้ไปเห็นด้วยตาตัวเองกันสักครั้ง ก็คือ นาข้าวขั้นบันได ที่นานทีปีหนจะออกผลผลิตให้ได้ยลความงดงามกัน ทางภาคเหนือก็มีนาข้าวขั้นบันไดสวย ๆ อยู่หลายแห่ง ซึ่งเราจะชี้เป้าให้ ดังนี้ 1. นาข้าวขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง จังหวัดเชียงใหม่ ผืนนาข้าวขั้นบันไดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของไทย ตั้งอยู่ในตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ริมเชิงเทือกเขาดอยอินทนนท์ เป็นนาข้าวขั้นบันไดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราว ๆ 1,000 เมตร จึงทำให้มองเห็นนาข้าวเล็ก ๆ เรียงตัวอย่างสวยงามลดหลั่นกันลงไปตามเชิงเขาเป็นพื้นที่กว้างขวาง มีระดับที่สูงชัน เมื่อยืนอยู่บนยอดสุด จะเห็นวิวทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ถ่ายรูปสวย ไม่ว่าจะยามเช้า หรือเย็นก็มีบรรยากาศงดงาม นาขั้นบันได การขึ้นไปยังบ้านป่าบงเปียง แนะนำว่าให้เช่ารถของชาวบ้านขึ้นไป หรือถ้าอยากพักค้างคืนโฮมสเตย์หลักร้อย วิวหลักล้าน ส่วนใหญ่ทางโฮมสเตย์ก็จะมีรถรับ-ส่ง อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นมาเอง เพราะบางช่วงเป็นทางเล็ก แคบ และชันพอสมควร หากขับรถไม่ชำนาญพอก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ 2. นาข้าวขั้นบันได โครงการหลวงขุนแปะ จังหวัดเชียงใหม่ นาข้าวขั้นบันไดสวย ๆ ของอำเภอจอมทอง ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 บริเวณบ้านม่อนหิน ราว ๆ 20 กิโลเมตร ตัวนาข้าวขั้นบันไดจะอยู่ติดกับโครงการหลวงขุนแปะ เป็นนาข้าวสีเขียวพื้นที่กว้างขวาง แนะนำให้จอดรถไว้ที่โครงการหลวง แล้วเดินเที่ยวชมนาข้าวที่อยู่ใกล้ ๆ หรือจะให้ทางโครงการหลวงติดต่อชาวบ้านให้พาเที่ยวชมรอบ ๆ หมู่บ้านก็ได้ เพราะยังมีนาข้าวแปลงอื่น ๆ รวมทั้งไร่กะหล่ำปลีและทุ่งดอกไฮเดรนเยียสวย ๆ ให้เที่ยวชมถ่ายรูปด้วย 3. นาข้าวขั้นบันได แม่ลาน้อย บ้านดง บ้านห้วยห้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางนาข้าวขั้นบันไดสวย ๆ ในเขตอำเภอแม่ลาน้อย บริเวณที่จะสามารถชมได้สวยงามจุใจจะอยู่ที่ทางลงไปยังหมู่บ้านบ้านดง และโครงการหลวงแม่ลาน้อย โดยจุดชมวิวจะอยู่ริมถนนบนเชิงเขา จึงมองเห็นนาข้าวขั้นบันไดมุมสูงได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ถ่ายรูปสวยมาก แต่ต้องระมัดระวัง ไม่จอดรถกีดขวางการจราจร หรือใครจะขับลงไปยลโฉมนาข้าวขั้นบันไดแบบใกล้ชิดกันถึงที่แปลงนาข้าวก็ได้ แต่ต้องไม่เหยียบย่ำต้นข้าวของชาวบ้าน อีกหนึ่งนาข้าวขั้นบันไดสวย ๆ ของแม่ลาน้อย จะอยู่ที่บ้านห้วยห้อม รอบ ๆ หมู่บ้านจะมีนาข้าวขั้นบันไดแปลงเล็ก ๆ กระจายตัวกันออกไป จุดไฮไลต์จะอยู่บริเวณโฮมสเตย์บ้านห้วยห้อม มองเห็นเป็นนาข้าวเรียงตัวลดหลั่นกันลงไปตามความชันของภูเขา ไปยังเชิงเขาด้านล่าง สองฟากฝั่งเป็นภูเขาสวยงาม ที่สำคัญที่นี่มีกาแฟอาราบิก้าที่คุณภาพดีที่สุดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย นักท่องเที่ยวจึงจะได้จิบกาแฟไปพร้อม ๆ กับชมวิวธรรมชาติงามตา การเดินทางมาเที่ยวทั้ง 2 ชุมชนนั้นสามารถขับรถเข้ามาเที่ยวเองได้ ถนนลาดยางอย่างดียาวเข้าไปถึงบ้านห้วยห้อม แต่บางช่วงเป็นโค้งคดเคี้ยวไป-มา อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ 4. นาข้าวขั้นบันได โครงการปิดทองหลังพระ จังหวัดน่าน พื้นที่อันไกลโพ้นบนภูเขาสูงใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติงาม ๆ หาชมได้ยาก จากพื้นที่ที่ปลูกพืชพรรณเชิงเดี่ยวจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นแห้งแล้ง โครงการปิดทองหลังพระได้เปลี่ยนแปลงให้กลับมาเขียวขจีงดงามเต็มไปด้วยต้นไม้และทุ่งนาข้าวขั้นบันไดสวยตระการตา นำพาชีวิตชีวาและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเข้ามาสู่ชุมชนเล็ก ๆ บนภูเขาสูง กลายเป็นสะพานที่ท่องเที่ยวลับ ๆ ของน่านที่ไม่ว่าใครได้มาสัมผัสเป็นต้องหลงรัก นาขั้นบันได โดยเฉพาะนาข้าวขั้นบันไดที่ปลูกไล่ลดหลั่นกันลงมาตามความชันของภูเขา มองไปทางไหนก็เป็นสีเขียวสดชื่นเย็นตา ถ้ามาช่วงปลายฝนต้นหนาวก็กลายเป็นทุ่งสีทองอร่าม สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันได้เต็ม ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีไร่ชาภายในที่ทำการโครงการปิดทองหลังพระให้เที่ยวชมด้วย การเข้าไปเที่ยวชมนาข้าวขั้นบันได โครงการปิดทองหลังพระ น่าน สามารถขับรถเข้าไปเที่ยวชมได้ แต่ต้องเป็นรถกระบะ เพราะถนนบางช่วงเป็นหลุมบ่อ มีทางลูกรัง และเป็นทางขึ้นเขาชัน ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าฝนควรขับขี่ระมัดระวังเป็นพิเศษ 5. นาข้าวขั้นบันได ปัว จังหวัดน่าน
อำเภอปัว เป็นอำเภอที่ขึ้นชื่อเรื่องนาข้าวสีเขียว ชาวบ้านจะทำนาข้าวกันเป็นอาชีพหลัก มองไปทางไหนก็เป็นทุ่งนากว้างมีขุนเขาล้อมรอบ สำหรับนาข้าวขั้นบันไดจะเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก เพราะส่วนใหญ่ทำนากันบนที่ราบลุ่ม จุดที่สามารถมองเห็นนาข้าวได้สวย ๆ จะอยู่บริเวณจุดชมวิวของวัดภูเก็ต จะเห็นนาข้าวกว้างขวางสวยงามมาก อีกจุดจะอยู่บริเวณตำบลวรนคร (พิกัด : 19?10'27.4"N 100?56'38.5"E) บริเวณนี้จะเป็นทุ่งนากว้าง มองเห็นดอยภูคาสูงใหญ่อยู่ด้านหลัง ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, บ้านผาหมอน ดอยอินทนนท์ ,travel.kapook ถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอะเมซิ่ง กับหินที่มีรูปร่างคล้ายลำตัวของงูขนาดยักษ์ อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่เที่ยวไทยชวนแปลกตา นับเป็นเรื่องที่ฮือฮาในโลกของโซเชียลกับการปรากฏของรูปภาพหิน ที่มีลักษณะคล้ายกับลำตัวของงูยักษ์ กับ “ถ้ำนาคา” แห่งอำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ หลายคนเมื่อเห็นภาพแล้ว น่าจะอดตะลึงไปกับความมหัศจรรย์ของตัวหินที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน วันนี้เราเลยจะพาทุกคนลองไปชมภาพความอะเมซิ่งของถ้ำนาคากัน ดูสิว่าจะชวนให้เราประทับใจกับสิ่งที่ธรรมชาติได้สรรค์สร้างไว้มากน้อยขนาดไหน ถ้ำนาคา แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณวัดถ้ำชัยมงคล อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ตื่นตากับหินที่มีรูปร่างคล้ายลำตัวของงูขนาดใหญ่ ทั้งนี้ด้วยลักษณะร่องรอยของหินทำให้อดจินตนาการไม่ได้ว่าเป็นลวดลายคล้ายกับเกล็ดงู นอนขดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้พบเห็นเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Ord Thanawanij ระบุเพิ่มเติมว่า จากการที่ภาพดังกล่าวกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียล ทำให้หลายคนเข้าใจว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด และชี้แจงว่า ช่วงนี้อุทยานปิดการท่องเที่ยวเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด 19 และบริเวณที่พบหินตามภาพ อยู่ในจุดที่ยากต่อการเข้าถึงและเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ซึ่งต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอำนวยความสะดวก จึงขอประชาสัมพันธ์เบื้องต้นนี้ว่า ช่วงนี้ทางอุทยานแห่งชาติภูลังกา ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทุกจุดในเขตอุทยานแห่งชาติ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดจะคลี่คลาย ซึ่งหลังจากทางอุทยานได้มีประกาศเปิดการท่องเที่ยวเมื่อใดแล้ว ทางอุทยานจะจัดระเบียบการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูลังกา โทรศัพท์ 083 348 2549 ขอบคุณข้อมูและภาพประกอบจาก : travel.kapook ,เฟซบุ๊ก Ord Thanawanij
หลังจากที่เมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน 2563) ทางจังหวัดตราดได้มีประกาศเปิดเมืองรับการท่องเที่ยวออกมา ทำให้ธุรกิจหลายๆ ภาคส่วนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดตราดเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง และหนึ่งในสถานที่ที่หลายๆ คนอยากจะไปกันมากๆ ในตอนนี้ของจังหวัดตราดนั่นก็คือเกาะกูด ก็กลับมาเปิดเกาะให้นักท่องเที่ยวอีกครั้งเช่นกัน เรือข้ามฝากที่ให้บริการรับส่งระหว่างจังหวัดตราดและเกาะกูดกลับให้บริการแก่นักท่องเที่ยวตามปกติ แต่จะลดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละรอบของเรือเหลือเพียงแค่รอบละ 50 เปอร์เซ็นต์จากเดิมเท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถเช็กรอบเวลาการเดินเรือและติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในการเดินทางเข้าเกาะกูดได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลยครับ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |