หนีความวุ่นวายจากชีวิตในเมือง มาลองสัมผัสวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และเงียบสงบในกระท่อมไม้เล็กๆแสนน่ารัก ท่ามกลางทุ่งนาขนาดใหญ่ได้ที่ “บ้านป่าบงเปียง” หมู่บ้านเล็กๆที่รายล้อมด้วยนาขั้นบันไดขนาดใหญ่ นักท่องเที่ยวจะได้ดื่มด่ำไปบรรยากาศของธรรมชาติอย่างแท้จริง ชมทัศนียภาพของวิวท้องทุ่งนาบนเนินเขาสูง บวกกับวิวเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นภาพที่สวยงายงามประทับใจไม่รู้ลืม แต่ช่วงเวลาที่ท้องทุ่งนามีความชุ่มชื่น เขียวชอุ่ม จะเป็นช่วงเดือน กันยายน-ตุลาคม แต่ในช่วงเวลาอื่นๆก็สามารถมาพักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศธรรมชาติที่แสนสงบแห่งนี้ได้เช่นกัน หากใครที่มีโอกาสได้มาเยือน ณ บ้านป่าบงเปียง จะได้ลองใช้ชีวิตในกระท่อมไม้เล็กๆ กลางทุ่งนา ได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของภูเขาและป่าไม้ และยังได้พบกับทะเลหมอก แสงแดดอ่อนๆจากพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นในยามเช้า ได้ลองลิ้มรสอาหารท้องถิ่นจากชาวบ้านในชุมชน และตกเย็นยังได้สัมผัสกับอากาศหนาว และนอนดูดาวกันก่อนนอนอีกด้วย - ที่อยู่ : บ้านป่าบงเปียง ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 50270
- เบอร์โทรศัพท์ : 093-223-5812 - Facebook : นาขั้นบันได ป่าบงเบียง - กิจกรรมท่องเที่ยว: พักผ่อน, ชมวิวธรรมชาติ, ถ่ายภาพ - สิ่งอำนวยความสะดวก : ห้องน้ำ, โฮมสเตย์ - แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง : นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง, อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์, น้ำตกแม่ปาน - เวลาทำการ: เปิดบริการทุกวัน (24 ชั่วโมง) ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : ssanook , INN News
0 Comments
ธรรมชาติ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ธรรมชาติมักจะสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้มนุษย์ได้ชื่นชม และในวันนี้ จะพาคุณไปสัมผัสกับอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติที่ชุมชนบ้านท่าระแนะ จังหวัดตราด กับความสวยงามแสนอัศจรรย์ของลานตะบูน ระบบนิเวศสุดแปลกตา ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย ลานตะบูนแห่งนี้เกิดขึ้นจากรากของต้นตะบูนที่มีอยู่มากในพื้นที่ป่าโกงกางของหมู่บ้านท่าระแนะ ซึ่งความพิเศษของรากตะบูนนั้นจะมีรากที่เลื้อยขึ้นมาอยู่บนพื้นดิน เมื่อผสานเข้ากันระหว่างหลายๆ ต้นทำให้เกิดเป็นพื้นดินที่มีลวดลายของรากตะบูนอย่างงดงาม การเดินทางไปสู่ลานตะบูนนั้นต้องนั่งเรือเข้าไป โดยสามารถติดต่อเรือนำเที่ยวได้ที่ 081-161 6694 (ผู้ใหญ่สายชล) โดยใช้เวลาในการนั่งเรือประมาณ 30 นาที จากท่าเรือบางระแนะ ระหว่างทางคุณจะได้พบกับความยิ่งและสวยงามของระบบนิเวศแบบป่าชายเลน ที่นี่มีป่าชายเลนที่สมบูรณ์มากๆ มีสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์ให้เราได้เรียนรู้แลชื่นชมมากมาย ทั้งต้นโกงกางราชาแห่งป่าชายเลน ต้นจาก น้ำน้ำน้อยใหญ่ และเหล่าสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน อีกทั้งในบางช่วงของเส้นทางสู่ลานตะบูนนั้นยังเป็นเหมือนกับอุโมงค์ต้นไม้ให้เราได้ถ่ายรูปสวยๆ กันเก็บเป็นความทรงจำอีกด้วย เมื่อเดินทางมาถึงลานตะบูนก็ได้เวลาออกไปเดินสำรวจความสวยงามของระบบนิเวศนี้ โดยทางชาวบ้านได้ทำทางเดินไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยวเพื่อป้องกันการหักชำรุดของรากต้นตะบูน และจัดมุมถ่ายรูปสวยๆ ไว้ให้กับนักท่องเที่ยวหลายมุม ซึ่งต้องบอกเลยว่าสำหรับคนชอบถ่ายรูปด้วยแล้วที่นี่คือโลเคชันที่สวยงามและดูแปลกตามากๆ ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็ดูสวยงามไปหมด ภาพของลานตะบูนที่มีแสงส่องลงมานั้นช่างสวยงามยิ่งนัก กลายเป็นภาพที่ถูกบันทึกลงในความทรงจำของเรามาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ใหญ่สายชลเล่าให้เล่าฟังว่านอกจากการมาเยี่ยมชมลานตะบูนแล้วในช่วงน้ำน้อยๆ ชาวบ้านยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้ทำเพิ่มเติมอีกด้วยนั่นก็คือการเล่นโบว์ลิ่งตะบูน กีฬาพื้นบ้านที่ใช้ลูกตะบูนมาแทนลูกโบว์ลิ่งนั่นเอง แต่ในวันที่เราไปนั้นน้ำค่อนข้างเยอะทำให้ลานตะบูนไม่แห้งไม่สามารถเล่นได้ เห็นแต่เพียงลู่โบว์ลิ่งร่องรอยแห่งความสนุกเท่านั้น ก่อนจะเดินทางกลับพี่คนขับเรือได้พาเราออกไปชมธรรมชาติสวยๆ บริเวณปากอ่าว เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองพอดี เราจึงได้พบกับความสวยงามยามพระอาทิตย์ตกกลางสายน้ำ ป่าชายเลนในยามพระอาทิตย์ตกนั้นสวยงามจริงๆ อีกทั้งยังได้ชมวิถีชีวิตริมน้ำของชาวบ้านท่าระแนะที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการประกอบอาชีพประมงกินอยู่กับสายน้ำ ดูน่าสุขใจไร้ซึ่งความวุ่นวายใดๆ ในชีวิต และทั้งหมดนี้ก็คือความเรื่องราวความประทับใจตลอดการเดินทางสู่ลานตะบูน หนึ่งใน Unseen Thailand ของจังหวัดตราด เมืองรองที่ต้องลองมาดู มาเห็นให้รู้ด้วยตาคุณเอง ข้อมูลเพิ่มเติม - ที่ตั้งลานตะบูน : หมู่ 2 บ้านท่าระแนะ ต.หนองคันทรง อ.เมืองตราด จ.ตราด - ติดต่อ : 081-161 6694 (ผู้ใหญ่สายชล) - ค่าบริการ : ค่าเรือนำเที่ยว 100 บาทต่อคน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P. น้ำตกพลิ้วสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดจันทบุรี น้ำตกสวยงามที่หลายๆ คนคงจะเคยมีโอกาสได้มาเที่ยวกันบ้างแล้ว แต่หากมองให้ลึกลงไปถึงประวัติความสำคัญของน้ำตกแห่งนี้ ต้องบอกเลยว่านี่คือสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเลยทีเดียว น้ำตกพลิ้วตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วหน่วยที่ 1 ในแถบเทือกเขาสระบาป เป็นต้นน้ำที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านในเขตอำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบรี รวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศอีกด้วย ความสำคัญที่เราบอกไปของน้ำตกพลิ้วนั้นก็คือ ในครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเสด็จประพาสที่น้ำตกพลิ้วแห่งนี้ และได้ยกย่องว่าน้ำตกพลิ้วแห่งนี้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดเท่าที่พระองค์เคยเสด็จประพาสมาในเมืองไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากๆ จนมาดำริให้สร้างพระเจดีย์แห่งหนึ่งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเสด็จประพาทในครั้งนั้น โดยสร้างขึ้นบนหน้าผาหน้าน้ำตกพลิ้วมีชื่อว่าอลงกรณ์เจดีย์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2419 กลายเป็นสถานที่สักการะบูชาของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 5 นั่นก็คืออนุสรณ์พีรามิดที่ระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือพระนางเรือล่ม พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง ในแง่ของการท่องเที่ยวน้ำตกพลิ้วแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความใสสะอาดของน้ำตกจากธรรมชาติที่หลั่งไหลลงมาจากสายน้ำสองสายลงมาบรรจบกันที่น้ำตกแห่งนี้ เป็นต้นน้ำลำธารที่มีรูปแบบที่สวยงามมากๆ เหมาะสำหรับจะมาพักผ่อนหย่อนใจและถ่ายรูปกันได้ตลอดทั้งวัน หลายๆ คนพาครอบครัวมาแช่น้ำเล่นกันในวันหยุดสบายๆ ซึ่งถึงแม้ว่าช่วงนี้ที่น้ำตกพลิ้วอาจจะมีน้ำน้อยไปสักนิดแต่ก็ยังพอมีให้แช่น้ำกันได้แบบฟินๆ เป็นสวนน้ำกลางป่าที่หลายๆ คนชื่นชอบ อีกหนึ่งไฮไลท์ของน้ำตกพลิ้วนั่นก็คือเหล่าฝูงปลาพลวงที่อาศัยอยู่ในสายน้ำ ฝูงปลาเหล่านี้เป็นมิตรกับผู้คน และเรียกได้ว่าเป็นเจ้าถิ่นที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนเป็นอย่างดี ด้วยความใสของน้ำเราจะเห็นฝูงปลาพลวงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนมาก ถ่ายรูปออกมาก็ดูสวยงามด้วยสีน้ำสีเขียวมรกต เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ต้องมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง หากวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้คุณยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดีลองพาตัวเองออกไปจากความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และแช่น้ำกันให้สบายใจที่น้ำตกพลิ้วแห่งนี้กันครับ ข้อมูลเพิ่มเติม
- ที่ตั้งน้ำตกพลิ้ว : หมู่ 12 ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี - ติดต่อ : 0 3943 4528 ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P. หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบความคลาสสิค วิถีชีวิตที่ยังคงอยู่แบบเรียบง่าย วันนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับความน่ารักของถนนคนเดินบ้านปากถัก เมืองเหมืองเก่า ถนนคนเดินที่เพิ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้แค่ประมาณ 3 อาทิตย์เท่านั้น ถนนแห่งนี้แห่งนี้ตั้งอยู่ใจอำเภอเมืองกะปง จังหวัดพังงา เป็นถนนคนเดินที่ทางภาครัฐและเอกชนรวมไปถึงชาวบ้านร่วมมือกันเปิดขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวในอำเภอกะปง โดยตลาดแห่งนี้เป็นตลาดทดลองที่จะเปิดทุกวันเสาร์ช่วงเย็นๆ 15.00 - 20.00 น และจะเปิดไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 เท่านั้น โลเคชันที่ตั้งของตลาดนั้นถือได้ว่าเป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ เพราะถนนคนเดินแห่งนี้ตั้งอยู๋ในย่านตลาดเก่าเมืองกะปง ที่ครั้งหนึ่งเคยซบเซาเพราะลูกหลานต่างออกไปทำมาหากินกันในอำเภอหรือจังหวัดอื่น แต่ย่านตลาดเก่านี้ได้ถูกปลุกขึ้นมาให้มีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการจัดถนนคนเดินแห่งนี้ขึ้น สองข้างทางคุณจะได้พบกับตึกเก่าสไตล์โคโลเนียลสมัยโบราณที่ยังใช้งานอยู่จริงของชาวบ้าน เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ที่มาแล้วห้ามพลาดมาเก็บภาพความทรงจำกัน ในส่วนของบรรยากาศภายในตลาดนั้นต้องบอกว่าคึกคักมากๆ ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านต่างออกมาจับจ่ายซื้อของกัน ผู้คนต่างทักทายยิ้มแย้มให้กัน พ่อค้าแม่ค้าแต่งชุดบาบ๋าชุดประจำถิ่นของจังหวัดพังงาออกมาขายของ เป็นบรรยากาศที่น่ารักจริงๆ และพลาดไม่ได้หากมาเดินตลาดนี้นั่นก็คือการหาของกินอร่อยๆ ทานกัน ความพิเศษของที่นี่ก็คือคุณสามารถเดินหาของกินพื้นบ้านที่หาทานยากของเมืองพังงาทานได้ที่นี่ในราคาที่ถูกมากๆ ในแบบที่คุณพกเงินมาแค่ 100 บาท ก็จะได้ของกินเต็มมือแล้ว สินค้าที่ขายในตลาดก็มีความหลากหลายทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ของใช้ เป็นต้น เป็นอีกถนนคนเดินที่ครบเครื่องเลยทีเดียว และหากเดินไปจนถึงเกือบสุดทางตลาดคุณยังสามารถแวะเที่ยว บริษัทจุติเหมืองแร่เก่า ที่เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ในการทำเหมืองแร่ได้อีกด้วย ได้เรียนรู้จากสถานที่จริงแบบนี้ถือเป็นโอกาสที่หาชมได้ยากในสมัยนี้ และนอกจากนั้นยังมีไกด์สุดน่ารักอย่างลุงนิล อดีตพนักงานของเหมืองแร่จุติคอยถ่ายทอดความรู้กับให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย มาเที่ยวถนนคนเดินบ้านปากถัก เมืองเหมืองเก่านอกจากจะได้อิ่มอร่อยจากอาหารพื้นบ้านนานาชนิดแล้ว ยังจะได้ความรู้ของการทำเหมืองแร่สมัยโบราณ ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวกะปง และได้รอยยิ้มที่จริงใจจากชาวบ้านที่น่ารัก ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายสมฉายาเมืองในม่านหมอก ยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ตกดินนั้นถนนคนเดินแห่งนี้บรรยากาศดีมากๆ มีแสงทไวไลท์สวยๆ ตัดกับภาพของตึกโบราณ ยิ่งดูงดงามทรงคุณค่าขึ้นไปอีก หากมีโอกาสสักครั้งหนึ่งลองแวะมาเยี่ยมชมถนนคนเดินแห่งนี้กันครับ ข้อมูลเพิ่มเติม - ที่ตั้งถนนคนเดินบ้านปากถัก เมืองเหมืองเก่า : บริเวณตลาดปากถัก ต.ท่านา อ.กะปง จ.พังงา - ติดต่อสอบถาม : 076-413400-2 (ททท.สำนักงานพังงา) - เวลาเปิด - ปิด : เปิดทุกวันเสาร์ 15.00 - 20.00 น. ขอบคุณข้อมูลและภพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P. สุขใจ สุขกาย พาไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอำเภอเชียงแสน “พระธาตุผาเงา” พระธาตุเก่าแก่คู่เมือง พร้อมชมบรรยากาศ 3 แผ่นดินริมน้ำโขง กันที่จังหวัดเชียงรายขึ้นเหนือสุดแดนสยาม พาไปรู้จักสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่กันที่ “วัดพระธาตุผาเงา” สักการะพระธาตุที่สำคัญในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ที่เล่าลือกันว่า ขอรถได้รถ ขอม้าได้ม้า กันทีเดียวเชียว!! เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้ ทางหลวงหมายเลข 1 เป็นเส้นทางหลัก ผ่าน นครสวรรค์ ตาก ลำปาง พะเยา ด้วยระยะทางรวม ประมาณ 800 กิโลเมตร ก็จะถึงเชียงราย “วัดพระธาตุผาเงา” อยู่ในพื้นที่เป็นเนินเขาเล็ก ๆ ทอดยาวตามกันไป อยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก อยู่ตรงข้ามกับประเทศลาวเลย ตัววัดตั้งอยู่บนทางหลวง 1290 อยู่ถนนเลียบ แม่น้ำเชียงแสน ห่างจากตัวอำเภอเมืองเชียงแสนไม่ไกลนัก ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เดินทางมาได้ง่าย ๆ รถยนต์ส่วนตัวก็ได้ หรือจะนั่งรถสองแถวจากตัวอำเภอเมืองเชียงแสนก็ได้เหมือนกัน “วัดพระธาตุผาเงา” แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ถือได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับเชียงแสนมาอย่างยาวนาน มีประวัติเหล่าขาน ความศักดิ์สิทธิ์ที่ใครแวะเวียนมาผ่านที่อำเภอเชียงแสน ต้องแวะเข้ามากราบไหว้สักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า ชื่อ “วัดพระธาตุผาเงา” นี้มีที่มาจากการค้นพบ “พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา” ในปี พ.ศ. 2519 พบที่บริเวณถ้ำใต้ผา อายุระหว่าง 700-1,300 ปี เป็นพระพุทธรูปที่ถูกหล่อขึ้นจากศิลปะเชียงแสนผสมกับรูปแบบของศิลปะสุโขทัย มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย พระรัศมีเป็นเปลวสวยงาม มีขนาดหน้าตักสูงประมาณ 1.5 เมตร และกว้างประมาณ 1 เมตร ซึ่งหลังจากที่ค้นพบพระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดตามชื่อพระพุทธรูป เปลี่ยนเป็น วัดพระธาตุผาเงา ในปัจจุบัน วัดแห่งนี้มีความเชื่อว่า ผู้ใดที่มาสักการะ ขอพรที่ “วัดพระธาตุผาเงา” จะช่วยให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย โรคที่เป็น จะทุเลาเบาลง และยังเชื่อกันอีกว่า การได้มาสักการะพระธาตุผาเงา จะได้รับโชคลาภอย่างที่ขอ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกพื้นที่ ทั้งในและต่างประเทศ เดินทางมาสักการะอยู่ตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่ต้องแวะมาของอำเภอเชียงแสนเลยแหละ เริ่มต้นการสักการะ ด้วยการไปไหว้พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา ที่วิหารหลวงพ่อผาเงา ซึ่งด้านหน้าบริเวณราวบันได จะถูกออกแบบเป็นรูปพญานาค แกะสลักสวยงาม และเราก็เดินก้าวเท้าเข้าไปภายในวิหาร จะได้พบความอลังการของประติมากรรมฝาผนัง ที่เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและสัตว์ป่าหิมพานต์ ซึ่งประตูและหน้าต่างของวิหารทำจากไม้สักแกะสลักสวยงาม ลวดลายเกี่ยวกับประเพณีเดือนสิบสองของชาวล้านนา เป็นการผสมผสานศิลปะกันอย่างลงตัว “พระธาตุผาเงา” มีลักษณะเป็น พระธาตุขนาดเล็กทรง 8 เหลี่ยม เป็นการออกแบบจากศิลปะล้านนา สร้างขึ้นวางบนก้อนหินขนาดใหญ่มาก ซึ่งมีก้อนหินใหญ่อีกก้อนนอนลาดอยู่ ดูเหมือนกับเป็นเงาของพระธาตุเลย เพราะแบบนี้แหละนี่เอง ชาวบ้านถึงเรียกกันว่า พระธาตุผาเงา สามารถขึ้นมาชมความสวยงามของพระธาตุได้ทุกวัน ต่อมาเราก็ไปกันที่ “พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์” ซึ่งอยู่บนยอดดอยขึ้นไป 1 กิโลเมตร ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี องค์เจดีย์มีลักษณะ เป็นเจดีย์สีขาวองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านสวยงาม ถูกสร้างขึ้นมาครอบพระธาตุเจ็ดยอด เดินชมรอบ ๆ ได้ เพราะมีลักษณะคล้ายป้อมปราการ สามารถมองเห็นแม่น้ำโขง และพื้นที่รอยต่อของประเทศทั้ง 3 ได้แก่ ไทย ลาว และเมียนมา โดยบริเวณนั้นมีแม่น้ำโขงตัดผ่านสวยงามมาก จากตรงนี้สามารถมองเห็นตัวเมืองเชียงแสน และประเทศลาวได้อย่างชัดเจน นับว่าเป็นอะไรที่ดีต่อใจ ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาสักการะและถ่ายรูปกันอีกที่หนึ่งของวัด และภายในวัดพระธาตุผาเงา ก็ยังมีอย่างอื่นให้ไปเที่ยวชมความสวยงามและความเก่าแก่ของศิลปะเชียงแสนได้อีก ที่นอกเหนือจาก พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา วิหารหลวงพ่อผาเงา พระธาตุผาเงาแล้ว และพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของวัด ซึ่งก็มีความสวยงามที่เรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ทั้ง อุโบสถพระธาตุจอมจัน หอพระไตรปิฏกเฉลิมพระเกียรติ และพิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวที่จังหวัดเชียงราย ก็อย่าลืมแวะเวียนมาสักการะพระธาตุผาเงากันนะ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , พาไป
ช่วงเดือนแห่งความรักแบบนี้ หลายคนคงมองหาสถานที่สวยๆ เพื่อพาคนรักและครอบครัวไปพักผ่อน วันนี้ทางทีมงานขอแนะนำ 3 จุดเช็คอินเชียงใหม่ ที่ไม่ว่าจะมาเดือนไหน ก็สนุกครบรส ไม่มีตกเทรนด์ 1.สวนดอกมากาเร็ต โพสต์ท่าสุดฟิน เช็กอินเชียงใหม่ สวนดอกไม้ที่กำลังเป็นกระแสที่สุดบนโลกโซเชียลตอนนี้ คงนี้ไม่พ้นสวนดอกมากาเร็ต ที่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ ทั้งดาราซุปตาร์ตัวแม่ ยังไปโพสต์ท่าถ่ายรูปเก๋ๆ ท่ามกลางสวนดอกมากาเร็ต โพสต์ลง IG เรียกยอด Like แบบถล่มถลาย ส่วนใครที่ไม่อยากตกเทรนด์ต้องรีบมาถ่ายรูปเช็กอินกันนะ สวนดอกไม้ที่ อ. แม่ริม มีนับสิบๆ สวนที่เปิดให้เข้ามาโพสต์ท่าถ่ายรูป แต่ละสวนก็จะอยู่ในละแวกเดียวกันหมด บางสวนถึงกับต้องจองล่วงหน้าเพราะเขามีบริการเซ็ต Afternoon Tea ให้นั่งจิบชาสไตล์ผู้ดีอังกฤษท่ามกลางสวนดอกไม้ แต่สวนส่วนใหญ่ไม่ต้องจอง walk in เข้าไปได้เลย “นายรอบรู้” ขอแนะนำ We Flower Village สวนของป้าเอี้ยง เป็นสวนดอกไม้ที่ตั้งอยู่ที่บ้านดอนตัน หมู่ 5 ต. เหมืองแก้ว อ. แม่ริม ที่เต็มไปด้วย ดอกมากาเร็ตทั้งสีม่วง สีชมพู และสีขาว ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งสวยงามเต็มทุ่งกว้าง แถมยังมีพร็อพสวยๆ อย่างเปียโนสีขาวตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่ง ให้โพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ ไว้โพสต์บนโซเชี่ยล ยังมีซุ้มน้ำชาให้นั่งโพสต์ท่าเหมือนจิบชาท่ามกลางทุ่งดอกไม้ มีตู้โทรศัพท์สีแดงสวยแข่งกับสีสันของดอกไม้ และมีร่มล้านนาให้เดินถือบังแดด และเป็นพร็อพถ่ายรูปได้อีกด้วย อากาศที่เย็นสบายบวกกับวิวสวนดอกไม้ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างเป็นภาพสุดประทับใจ ที่ต้องมาถ่ายรูปเช็คอินให้ได้สักครั้งในชีวิต - บ้านดอนตัน หมู่ 5 ต. เหมืองแก้ว อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ 2.ตรอกเล่าโจ๊ว สวรรค์ของนักช็อปงานคราฟต์ ตรอกเล่าโจ๊ว ถนนสายเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณกาดหลวง หรือตลาดวโรรสซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปี แล้ว โดยถนนเส้นนี้มีชื่อเรียกว่าเป็น “ถนนไชน่าทาวน์ของเชียงใหม่” แต่ชื่อจริงๆ นั้นคือ “ถนนข่วงเมรุ” ซึ่งหมายถึงสถานที่ตั้งกู่อัฐิของเจ้าหลวงเชียงใหม่ ก่อนที่จะย้ายไปวัดสวนดอก ตรอกเล่าโจ๊ว มีศาลเจ้ากวนอู เป็นศูนย์กลางความศรัทธาของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เข้ามาค้าขายกับคนเชียงใหม่ตั้งแต่บรรพบุรุษและตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้ มากกว่า 100 ปี และเป็นอีกย่านเศรษฐกิจที่สำคัญของชาวเชียงใหม่มาช้านาน โดยในพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยร้านค้ามากมายหลายประเภท ทั้งร้านขายผ้าฝ้ายลายสวยแบบเป็นม้วน แบ่งขายเป็นเมตรสำหรับผู้ที่ชื่นชอบผ้าฝ้าย ร้านขายเสื้อผ้าดีไซต์เก๋ที่ตัดเย็บจากผ้าพื้นเมือง ผ้าย้อมฮ่อมและผ้าย้อมคราม มีร้านขายปิ่นโตและภาชนะเครื่องเคลือบ เครื่องสังกะสี แบบวินเทจ ร้านขายเครื่องจักสานหลากดีไซต์ที่ทำจากหวายและไผ่ อย่างหมวก กระเป๋า รองเท้า โคมไฟ เป็นต้น ตรอกเล่าโจ๊วยังเชื่อมต่อกับ “กาดม้ง”ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบงานฝีมือสไตล์ชนเผ่า กาดม้ง คือตลาดผ้าพื้นเมืองพี่น้องชาวม้ง เป็นที่รวบรวมสารพันเครื่องสวมใส่หลากหลายชาติพันธุ์ ที่มีทั้งเสื้อผ้า กางเกง กระโปรง รวมไปถึงเครื่องประดับอย่างเครื่องเงิน ทั้งหมวก สร้อย ต่างหู กำไลข้อมือ รวมไปถึงรองเท้า มีครบตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกว่าเดินเพลินๆ ได้ทั้งวัน ถนนสายนี้ถือเป็นสวรรค์ของนักช็อปงานคราฟต์ และสินค้าพื้นเมืองเลยล่ะ - ตลาดวโรรส ต. ช้างเผือก อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 3.กิ่วแม่ปาน เส้นทางในฝันของนักเดินทาง ไม่ว่าจะมาเวลาเช้า สาย บ่าย อากาศก็เย็นสบายจนถึงหนาวเหน็บ เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เป็นทางเดินยาวถึง 3 กิโลเมตร และมีทางเดินเลาะเลียบสันเขามองเห็นแนวเมฆอยู่ระดับเดียวกับสายตา ใครมาเช้าต้องมาเฝ้ารอแสงแรกของวันที่จุดชมทิวทัศน์ กม. ที่ 42 ด้านหน้าทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกแห่งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พอถึงเวลาเปิดเส้นทางเราก็ตามไกด์ชาวม้งเข้าไป เดินไม่กี่ก้าวก็เจอผืนป่าสีเขียวสวยงามร่มรื่น ป่าชุ่มชื้นตามใบไม้มีน้ำค้างเกาะพราวไปทั่ว แสงสว่างอันน้อยนิดทำให้ผืนป่าดูครึ้มมืด ทั้งเต็มไปด้วยสายหมอกจนดูพร่าเลือนราวกับอยู่ในความฝัน ไกด์บอกว่าป่าประเภทนี้คือป่าดิบเขาระดับสูง พบเฉพาะพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 เมตรขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งในประเทศไทยพบเพียงไม่กี่แห่ง ด้วยพื้นที่ป่านี้อยู่สูงระดับเดียวกับก้อนเมฆ จึงมีอีกชื่อเรียกว่า “ป่าเมฆ” ซึ่งมีความชื้นสูงมากและอากาศหนาวเย็น พืชพรรณที่ชอบอากาศชื้นจึงเติบโตงอกงามขึ้นปกคลุมไปทั่ว โดยเฉพาะมอสส์และเฟินที่มีกว่า 100 ชนิด บนเส้นทางมีน้ำตกขนาดเล็กไหลผ่านผาหิน เดินต่ออีกไม่ไกล สภาพป่าก็เปลี่ยนไปเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่หน้าผาปลายสุดท้องทุ่งมีแนวเมฆสีขาวทอดตัวยาวไกลสุดตา พวกเราอยู่สูงกว่าเมฆ ใกล้แทบจะเอื้อมมือจับก้อนสีขาวเหมือนปุยนุ่นนั้นได้ และรับรู้ถึงความเย็นชื่นอย่างที่ไม่อาจสัมผัสได้ ความสนุกยังไม่จบสิ้น ใครยังแรงเหลือต้องเดินต่อมาตามสันเขาที่เรียกว่า “กิ่ว” (แปลว่าแคบ) ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของภูเขาด้านขวามือคือหน้าผาที่มองเห็นเทือกเขาทอดยาวอยู่เบื้องล่าง ส่วนด้านซ้ายเป็นทุ่งหญ้าที่พบพันธุ์ไม้หายากขึ้นแซมตลอดทาง พันธุ์ไม้เด่นสุดเป็นกุหลาบพันปี ดอกสีแดงสดของมันตัดกับท้องฟ้าสีเข้มอย่างโดดเด่น เส้นทางช่วงสุดท้ายเรากลับเข้ามาในป่าดิบเขาอีกครั้ง ไกด์ให้หยุดนิ่งฟังเสียงป่า ฟังเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว เสียงน้ำไหลในลำธาร สรรพเสียงสอดประสานเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติฟังรื่นรมย์คงไม่มีใครรู้หรอกว่าสวรรค์หน้าตาเป็นเช่นไร แต่ถ้ามีใครให้บรรยายภาพสวรรค์ในจินตนาการ เราจะนึกถึงกิ่วแม่ปานเป็นลำดับแรก ! - เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน - ต. บ้านหลวง อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ - เปิดให้เข้าชมเวลา 06.30-16.30 น. ขอบคุณข้ออมูลและภาพประกอบจาก : sanook , นายรอบรู้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ชอบที่จะไปหาโลเคชั่นสวยๆ ในการเก็บภาพความทรงจำ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดนครสวรรค์ที่มีชื่อว่า พาสาน สถาปัตยกรรมริมฝั่งม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งดูสวยงามแปลกตามากๆ สถานที่แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมรูปทรงสวยโดดเด่นที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของปากแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดนครสวรรค์ เป็นมุมถ่ายรูปที่ดูงดงามอลังการสุดๆ ยิ่งในยามที่มีแสงเช้า แสงเย็นสวยๆ ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความงดงามของภาพที่คุณจะได้เห็น ตัวแบบจะมีทรงคล้ายๆ กับสายน้ำที่ไหลสลับซับซ้อนกันเป็นชั้นๆ มองดูสวยงามสะดุดตา ย้อมด้วยสีน้ำตาลเพิ่มความน่าค้นหาให้มากขึ้นไปอีก เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสุดครีเอทของเมืองไทย ที่สักครั้งควรไปเยี่ยมชมด้วยตาคุณเอง และแน่นอนว่าไปที่นี่คุณจะได้รูปสวยๆ มากมายอย่างแน่นอน ที่ตั้งพาสาน : ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P. ผ่อนคลาย สบายอารมณ์ พาร่างกายไปพักผ่อนหนึ่งวัน ชิล ชิล ที่ “หาดพลา” สถานที่ตากอากาศ ชมวิถีชาวประมง หาดทรายสวย เงียบสงบแห่งอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ออกไปหาที่สูดอากาศหายใจดี ๆ สักที่ เราขอแนะนำ หาดพลา จังหวัดระยอง กับการเที่ยวสไตล์ One Day Trip ไปพักผ่อนสูดหายใจ เดินเล่นบนทรายสีเปลือกไข่ เล่นน้ำให้สนุก พร้อมทานอาหารอร่อย ๆ การเดินทางก็แสนจะชิล จากกรุงเทพฯ ไประยอง ระยะทางประมาณ 176 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถกันเรื่อย ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง นิด ๆ ก็ได้เที่ยวแล้ว จะแวะกิน แวะเที่ยวระหว่างทางก็ได้ ก่อนถึงระยอง แวะไปเที่ยวใน “จังหวัดชลบุรี” ที่อำเภอบางละมุง ชมความสวยงามของ “ปราสาทสัจธรรม” ปราสาทที่ทำขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและสวยงาม ด้วยความละเอียดและปราณีตในการแกะสลักแต่ละส่วนของปราสาท ทำให้เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาท่องเที่ยวกัน เดินทางต่อไปยังที่ “พระพุทธรูปเขาชีจรรย์” พระพุทธรูปแกะสลักขนาดใหญ่บนหน้าผาหิน รอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศสุดร่มรื่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาไหว้พระ ขอพรกัน นั่งพัก เดินเล่นกันรอบ ๆ ชมความสวยงามของพระพุทธรูปที่ขนาดใหญ่ที่สุด ผ่านไปสักพัก เราก็ออกเดินทางสู่ “หาดพลา” กันดีกว่า โดยเราจะเดินทางจากตัวอำเภอเมืองระยองไปไม่ไกลเลย ประมาณ 35 กิโลเมตรเอง ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3 มุ่งสู่อำเภอบ้านฉาง ที่ตั้งของจุดหมายปลายทางของเรานั้นเอง เมื่อเดินทางมาถึง “หาดพลา” จังหวัดระยอง อย่างแรกที่เราไปทำ คือ การหาอาหารทะเลทานกัน หาดนี้เป็นที่อยู่ของหมู่บ้านชาวประมง มีร้านอาหารและที่พักตลอดชายหาด มีเรือลำเล็กของชาวประมงเทียบท่าไว้ริมทะเลมากมาย ส่วนด้านวัตถุดิบอาหารทะเลทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ของที่นี่จะสดมาก สามารถเลือกซื้อเลือกทานกันได้อย่างเต็มที่ไปเลย หากได้มาเที่ยวที่นี่เราจะได้ชมทั้งวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงและยังได้ทานอาหารทะเลอร่อยอีกด้วย หลังจากทานอาหารกันจนพุงกางแล้ว ก็ได้เวลาเดินปะทะลมเย็นที่ชายทะเล เราสังเกตว่าทรายของที่นี่จะมีสีเหมือนเปลือกไข่สวยงาม ดูนวลสวยตัดกับน้ำทะเล คลื่นกำลังดี ลมทะเลพัดแรงแบบกำลังเย็นสบาย อากาศดีมาก ฟินสุด ๆ เราเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบเจอป่าสนริมหาด โครตร่มรื่น บรรยากาศดี น่ามาพักผ่อนสุด ๆ บริเวณนี้จะพบนักท่องเที่ยวเยอะ เพราะมีความร่มรื่น ลมพัดตลอด มีทางเดินกลางหมู่ต้นสน ให้ถ่ายรูปชิค ๆ แอบสังเกตเห็นว่า นักท่องเที่ยวหลายคนเตรียมเปลมานอนเล่นด้วย ดูฟินมากจะเรารู้สึกอิจฉาเลย ฮ่า ๆ ถึงแดดจะร้อนตามแบบฉบับประเทศไทย แต่ลมทะเลที่พักมานั้นเย็นมาก แล้วเราก็เดินต่อไปบริเวณชายทะเล ไปถ่ายรูปเท่ ๆ กันที่แนวโขดหินสีดำทอดยาว ซึ่งเบื้องหลังเป็นทะเลงดงาม ถือเป็นมุมถ่ายรูปสวย ๆ อีกที่ของหาดพลา หลังจากเราได้พักผ่อน เล่นน้ำ ได้สูดหายใจ เอาอากาศดีเข้าไปจนเต็มปอดแล้ว เราก็เพิ่งรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เพราะฟ้าเริ่มมืดใกล้เวลาที่ดวงอาทิตย์จะลาลับฟ้าแล้ว เราขอปิดท้าย One Day Trip ด้วยการเดินทางไปชมอาทิตย์ตกกันที่ “จุดชมวิวหลังวัดพลา” ซึ่งเป็นสะพานปูนยื่นยาวออกไปกลางทะเล ทำให้เราชมทะเลกันได้แบบ 360 องศาเลย แถมมีป้ายเก๋ ๆ ให้ถ่ายรูปกันด้วย ป้ายเขียนว่า “มาพักล้า@บ้านพลา” ไม่นานแสงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ตกลงที่ขอบฟ้า ปลายท้องฟ้าถูกย้อมด้วยแสงสีส้ม ลมทะเลและเสียงคลื่น ทำให้เป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกจริง ๆ และแล้วก็จบทริปการท่องเที่ยว “หาดพลา” ชายหาดแสนสวย สุดฟิน ที่ได้ทั้งทานอาหารทะเลสดใหม่ ปะทะลมทะเลเย็น ๆ สัมผัสทรายสีเปลือกไข่ ได้ชมพระอาทิตย์ตกงาม ๆ บรรยากาศดี ๆ และที่สำคัญว่างวันเดียวก็มาเที่ยวได้ ใครไม่เชื่อ ลองมาด้วยตัวเองกันได้ที่ “จังหวัดระยอง” ที่นี่เลย! ขอบคุณข้อมูลและถาพประกอบจาก : sanook , Paapaii
เที่ยวใกล้กรุง สบาย สไตล์ One Day Trip พาไปตะลุย “สวนผึ้ง” กันที่จังหวัดราชบุรี ไปป้อนอาหารสัตว์สุดน่ารัก เพลิดเพลินกับการเดินตลาด ชมความสวยงามของธรรมชาติ ถ่ายรูปชิค ๆ พร้อมชมพระอาทิตย์ตกกันที่ยอดเขา การเดินทาง จากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดราชบุรี ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ขับรถมาตามเส้นทางหมายเลข 4 เรื่อย ๆ พอถึงราชบุรีก็ขับรถไปอำเภอสวนผึ้ง อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ง่ายมาก ขับนิดเดียวก็ได้เที่ยวแล้ว “สวนผึ้ง” เป็นอำเภอที่อยู่บนพื้นที่สูง ภูเขาติดชายแดนไทย-พม่า มีธรรมชาติโอบล้อมอยู่ อากาศเย็นตลอดปี อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย แวะเที่ยวจุดแรกที่ “สวนผึ้งไฮแลนด์” สวนขนาดใหญ่บนเนินเขา ไฮไลท์ของที่นี่ คือ ได้ชมสัตว์หลากหลายชนิด การให้อาหารยีราฟ ชมบ่อปลาคาร์ฟตัวโต ๆ บรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่น มุมให้ถ่ายรูปชิค ๆ ก็มีนะ เดินทางต่อไปอีกนิด แล้วมาหยุดที่ “บ้านหอมเทียน” แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของสวนผึ้ง มีเทียนหอมรูปร่างประหลาด สวยไม่เหมือนใคร มีกิจกรรมทำเทียนหอมแบบฉบับตัวเอง ไว้เป็นที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปบ้าน หลังจากชมเทียนหอม กินช้อปกันจนจุใจ ก็ไปสัมผัสศิลปะความเก่าแก่กันต่อ “พิพิธภัณฑ์ภโวทัย” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เราได้เจอเรือนไทยหลังงาม ที่รวบรวมวัตถุโบราณ ทั้งรถม้า จานชามโบรณ พันธุ์ดอกไม้แสนสวย เรือนไทยถูกเกาะสลักด้วยลวดลายที่งดงาม เหมือนเราข้ามเวลาย้อนอดีตกันเลย ท้องเริ่มหิว เราไปแวะกินข้าวกันที่ “ตลาดโอ๊ะป่อย” ตลาดพื้นบ้านริมลำธาร ฃ ฃบรรยากาศร่มรื่นมาก มีอาหารให้เลือกกินมากมาย มีแคร่ไม้ไผ่ให้นั่งพักผ่อนริมลำธาร รับลมเย็น ๆ ซึมซับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ออกเดินทางไปที่ “เดอะซีนเนอรี่วินเทจฟาร์ม” สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ต้องแวะถ่ายรูปเท่ ๆ มีมุมถ่ายรูปแนววินเทจหลายมุม ให้ได้ถ่ายเล่นกันเพลิน ๆ พร้อมให้อาหารแกะ รับชมความงามของสถาปัตยกรรมสไตล์ประเทศอังกฤษ พักเหนื่อย เอาเท้าแช่น้ำที่ “น้ำตกเก้าโจน” เป็นน้ำตกที่มี 9 ชั้น สวยงามอีกแห่งของสวนผึ้ง ถูกล้อมรอบด้วยธรรมชาติของป่าเขาและสายน้ำที่ไหลตลอดปี จะเล่นน้ำก็ได้ แช่น้ำก็เพลิน เดินทางมาชมสัตว์น่ารัก ๆ กันที่ “อัลปาก้าฮิลล์” สถานที่ท่องเที่ยวกลางธรรมชาติ เป็นฟาร์มของอัลปาก้าแสนน่ารัก แถมยังมีสัตว์หายากให้ชมอีกเยอะแยะเลย อย่าลืมแชะภาพเก็บไว้นะ บรรยากาศเหมือนอยู่ในฟาร์มที่ต่างประเทศสุด ๆ ผ่อนคลายยามเย็น ชมพระอาทิตย์ตกกันที่ “เขากระโจม” แสงสุดท้ายบนยอดเขาติดชายแดนไทย-พม่า รับลมเย็น มองอาทิตย์ตกที่สวยงาม จบไปแล้วกับทริป “ตะลุยสวนผึ้ง 1 วัน” กิน เที่ยว ถ่ายรูป ครบทุกรสชาติ เพลิดเพลินกับการเดินตลาดริมน้ำ สัมผัสความเก่าแก่กับโบราณวัตถุ พักผ่อนแช่น้ำกับน้ำตกเย็นฉ่ำ มาเยือนถิ่นสัตว์หายากน่ารักมากมาย พร้อมชมอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกที่ของไทย หากใครกำลังมองหาที่เที่ยวแบบใกล้กรุง ลองมาเที่ยว “สวนผึ้ง” จังหวัดราชบุรีกันนะ ขอบคุณข้อมูลและภาะประกอบจาก : sanook ,พาไป
เทศกาลวันแห่งความรัก ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณกับคนรักจะได้ออกไปเที่ยว ไปเติมเต็มความสุขให้กัน ซึ่งในปีนี้ ขอแนะนำอีกหนึ่งอีเว้นท์ใหญ่ประจำปี ที่เหมาะสำหรับพาคนรักไปเติมความหวานในบรรยากาศสุดโรแมนติกในช่วงวาเลนไทน์ กับงาน "สิงห์ปาร์ค เชียงราย อินเตอร์เนชั่นแนล วาเลนไทน์ บอลลูน เฟียสต้า 2020" (Singha Park Chiang Rai International Valentine Balloon Fiesta 2020)" เทศกาลบอลลูนนานาชาติสุดโรแมนติกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาเซียน ที่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย งานในปีนี้จะจัดขึ้นในช่วง วันที่ 12-16 ก.พ.2563 โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 5 หลังประสบความสำเร็จในการจัดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอกย้ำการเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่คนมาเชียงรายต้องห้ามพลาด โดยงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ ที่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้สร้างประโยชน์ให้กับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ช่วยทำให้คนทั่วโลกได้เห็นความสวยงามของสิงห์ปาร์ค และจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจกรรมบอลลูน เลิฟ ซึ่งเป็นการบอกรัก จดทะเบียนสมรสลอยฟ้า ที่นักบินบอลลูนร่วมการแข่งขัน เข้ามามีส่วนร่วมในการพาคู่บ่าวสาวที่ได้รับการคัดเลือก 20 ลูก ขึ้นบินจดทะเบียนลอยฟ้าในเช้าวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ เกิดการเผยแพร่ภาพความประทับใจไปทั่วโลก จนทำให้สิงห์ปาร์ค และจังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งใน World’s Love Destination ที่คนทั่วโลกอยากมาบอกรัก แต่งงานกันที่นี้ และในจำนวนดังกล่าว จะมีคู่รักนักกีฬาอย่าง "อดิศร พรหมรักษ์" ปราการหลังทีมชาติไทยและสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ "น.ส.ฌัชชา ขุนณิรงค์" รวมถึงนักแสดงหนุ่ม "ต๊ะ-วริษฐ์ ทิพโกมุท" กับ "แอน-วริษฐา หล่อโลหการ" มาร่วมจดทะเบียนในครั้งนี้ด้วย อีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับงานนี้นอกจากการแข่งขันบอลลูนานาชาติแล้วก็คือ การแสดงคอนเสิร์ตสุดโรแมนติกตลอด 5 วัน 5 คืน จากทัพศิลปินชื่อดัง อาทิ สแตมป์ อภิวัชร์ , อะตอม ชนกันต์, ว่าน ธนกิฤต , บอย พีชเมคเกอร์ ,Gutsanova และศิลปินชื่ออีกเพียบ และนอกจากอีเว้นท์ภายในงานที่คุณจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาแห่งความสุขกันแล้ว ภายในสิงห์ปาร์คยังมีจุดท่องเที่ยวอีกมากมายให้คุณได้มาเช็กอิน ไม่ว่าจะเป็นเล่นซิปไลน์ชมวิวสวยๆ ท่ามกลางขุนเขาที่ล้อมรอบ ชมทุ่งดอกคอสมอสสีสันสวยงาม ถ่ายภาพไร่ชาขั้นบันได หรือนั่งทานอาหารฟินๆ ชมวิวสวยๆ บนร้านอาหารภูภิรมย์ มาที่นี่ที่เดียวเรียกได้ว่ามีครบหมดในด้านของการท่องเที่ยว ท่ามกลางอากาศที่กำลังหนาวเย็นของจังหวัดเชียงรายในช่วงนี้ ธรรมชาติที่รายล้อม ขุนเขา ต้นไม้ ดอกไม้ และเหล่าบอลลูนสีสันสวยงามที่ลอยละล่องอยู่เต็มท้องฟ้า เป็นบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก คงจะดีไม่น้อยหากคุณได้จูงมือคนรักและร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศไปด้วยกันในงานนี้ เป็นเทศกาลบอลลูนระดับโลกที่สักครั้งในชีวิตต้องไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองจริงๆ ข้อมูลเพิ่มเติม
- สถานที่จัดงาน : ตำบล แม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย - พิกัด : https://goo.gl/maps/XDGsKh12aXiqKY3y7 - ติดต่อ : 091 576 0374 - ระยะเวลาการจัดงาน : ตั้งแต่วันที่ 12-16 ก.พ.2563 ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอจาก : sanook , Peeranut P. |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |