จากสถานการณ์ฝนที่ตกหนักในป่าอุทยานถ้ำผาไท เหนือเขื่อนกิ่วลมในช่วงสองวันที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลดีต่อเขื่อนทำให้มีปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นผู้ประกอบการล่องแพท่องเที่ยวชมธรรมชาติเหนือเขื่อนสามารถล่องแพได้ไกลขึ้นนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเพื่อลงแพเที่ยวชมธรรมชาติ นายปองพล ไชยยะ ประธานชมรมผู้ประกอบการล่องแพหมู่สำเภาทอง เปิดเผยว่าที่ หมู่บ้านสำเภาทอง ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ที่มีพื้นที่ ติดกับทะเลสาบ เหนือเขื่อนกิ่วลม และเป็นหมู่บ้านที่มีผู้ประกอบการให้นักท่องเที่ยวเช่าเหมาแพกว่า 34 ลำ และในระยะนี้ ที่เหนือเขื่อน ฝนเริ่มหยุดตก จึงทำให้ช่วงเช้ามีบรรยากาศ หมอกลงเหนือผิวน้ำ และสามารชมพระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือน้ำ และภูเขาอย่างสวยงามและยังอยู่ในช่วงของของปลายฤดูฝนและจะเข้าสู่ช่วง ฤดูหนาวจึงมีประชาชนนักท่องเที่ยวมาเข้ามาจองแพกันเป็นจำนวนมาก และทางชมรมผุ้ประกอบการล่องแพ ได้เตรียมความพร้อมต่างๆ ในช่วงฤดูหนาวไว้แล้ว ซึ่งชมรมผู้ประกอบการล่องแพบ้านสำเภาทอง มีการควบคุมจำนวนแพซึ่งแพทุกลำต้องได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย มีอุปกรณ์ ชูชีพที่มีความพร้อมและมีมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว และที่สำคัญราคา และการบริการ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของชมรม ซึ่งไม่มีการชาร์ท หรือการโก่งราคา หรือเอาเปรียบนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอนในช่วงไฮท์ซีซั่นที่จะถึงนี้ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและถือว่าเป็นอันซีนของจังหวัดลำปางที่ควรมาสัมผัสสักครั้งจริงๆ ที่ตั้งเขื่อนกิ่วลม : ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
0 Comments
ประชาชนในอำเภอเคียนซา และอำเภอใกล้เคียงของจังหวัดสุราษฎร์ฯ เข้าเยี่ยมชมสะพานไม้ไผ่ ที่ทอดยาวในแม่น้ำตาปีกว่า 200 เมตร บริเวณเขตอภัยทาน ท่าน้ำวัดเพงประดิษฐาราม ม.1 ต.เคียนซา อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ฯ ที่ทางผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างขึ้น ตามโครงการนวัตวิถี เพื่อให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ขับเคลื่อนเกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินเข้าชุมชน ซึ่งจากการดำเนินการมาเพียง 3 สัปดาห์ พบว่ามีประชาชนสนใจเข้าท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อมาให้อาหารปลา นั่งพักผ่อนกับครอบครัวในแม่น้ำตาปี รวมถึงเด็กๆ สนุกกับการเล่นน้ำ จนกลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ของอำเภอเคียนซา ซึ่งประชาชนนิยมมากันในช่วงบ่ายถึงค่ำของทุกวัน โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ จะมากกว่าปกติ เนื่องจากมีตลาดนัดย้อนยุคของอำเภอเคียนซาในทุกวันอาทิตย์ด้วย ทำให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีแม่ค้าเข้ามาจองพื้นที่ในการค้าขายเพิ่มขึ้น โดยในช่วงแรกขายได้กว่าหนึ่งพันบาทต่อร้าน กระจายเงินสู่ชุมชนได้ในระดับหนึ่ง ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
ก่อนที่ “สวนสัตว์ดุสิต” หรือ “เขาดินวนา” หนึ่งในสถานที่สร้างความสุขของไทยรุ่นต่อรุ่น มานานถึง 80 ปี จะปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2561 คุณรู้หรือไม่ ? สวนสัตว์ดุสิต ซึ่งเป็น “สวนสัตว์แห่งแรกของประเทศไทย” มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง วันนี้ เรา อาสาพาไปทำความรู้จักกับสวนสัตว์ดุสิตในแง่มุมที่คุณอาจเคยรู้ หรือไม่เคยรู้มาก่อน กว่าจะมาเป็น “สวนสัตว์แห่งแรก” หรือ “สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรก” ของประเทศไทย “สวนสัตว์ดุสิต” หรือ “เขาดินวนา” เป็นสวนสัตว์และสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเกิดจากพระราชดำริของ“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5” เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ได้ทอดพระเนตรกิจการสวนพฤกษชาติของต่างประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสวนพฤกษชาติขึ้น เมื่อปี 2438 โดยใช้พื้นที่ราบทางด้านทิศตะวันออกติดคลองเปรมประชากร (ถนนพระราม 5) ในการจัดสร้าง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนพระองค์ และข้าราชการบริพารฝ่ายใน ต่อมา พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้พระราชทานอนุมัติในนามของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ให้เทศบาลนครกรุงเทพ (ณ ตอนนั้น) รับบริเวณสวนดุสิตหรือเขาดินวนา สนามเสือป่า และสวนอัมพร มาจัดเป็นสวนสัตว์ของประชาชน โดยเปิดสวนดุสิตให้ประชาชนเที่ยวชม และพักผ่อนหย่อนใจ เป็นครั้งแรกในวันที่ 18 มีนาคม 2481 “กวางดาว” สิ่งมีชีวิตชนิดแรก ในสวนสัตว์ดุสิต เมื่อครั้ง รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสหมู่เกาะชวา (ประเทศอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน) ได้ทรงนำกวางดาวฝูงหนึ่งจากชวามาเลี้ยงไว้ในสวนกวาง ต่อมา เมื่อสร้างสวนสัตว์ดุสิต เทศบาลนครกรุงเทพ จึงย้ายกวางดาวมาเลี้ยง ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ “กวางดาว” กลายเป็นสัตว์ชนิดแรกที่เข้ามาอยู่ในการดูแลของสวนสัตว์ดุสิต ช้างเผือก ประจำรัชกาลที่ 9 ที่เคยอยู่ในการดูแลของสวนสัตว์ดุสิต ภายหลังที่ “พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ” ซึ่งเดิม ชื่อว่า “พลายแก้ว” ถูกคล้องได้ที่บ้านหนองจูด ต.ดินอุดม อ.ลำทับ จ.กระบี่ เมื่อปี 2499 ก็ได้ถูกนำมาตรวจสอบคชลักษณ์ กระทั่งพบว่า เป็นช้างสำคัญ จึงนำมาเลี้ยงไว้ที่สวนสัตว์ดุสิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2500 แม้ในเวลาต่อมา พล.ท. บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ณ ตอนนั้น) ได้นำพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2501 เพื่อประกอบพิธีขึ้นระวางเป็นช้างต้น แต่พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ก็ยังเติบโต ภายใต้การดูแลขององค์การสวนสัตว์ที่สวนสัตว์ดุสิตเรื่อยมา ก่อนจะย้ายไปยังโรงช้างต้น ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อปี 2519 ต้นไม้ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เดนมาร์ก คือ “ต้นสัก” ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์ก เมื่อครั้ง เจ้าชายวัลเดอร์มาร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2443 และได้ทรงปลูกต้นสักเป็นที่ระลึกในการเสด็จเยือน “หลุมหลบภัย” แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ในสวนสัตว์เขาดิน มี “หลุมหลบภัย” ในสมัยสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 หรือที่เรียกว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ซึ่งถูกสร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยของประชาชนที่มาเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต และประชาชนในบริเวณใกล้เคียง ในกรณีที่ถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ) โจมตีทิ้งระเบิด ปัจจุบัน หลุมหลบภัยดังกล่าว ถูกปรับปรุงให้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ อาทิ จัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย และข้อมูลเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งโลก แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส ที่มีอายุมากที่สุดในประเทศไทย เมื่อเอ่ยถึง “สวนสัตว์ดุสิต” ภาพที่ผุดขึ้นในความคิดของแต่ละคน คงไม่พ้นภาพของเหล่าสัตว์ อย่างช้าง ยีราฟ หรือนกเพนกวิน ที่รออวดโชว์อยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสวนสัตว์ แต่หากพูดถึงดาวเด่นประจำสวนสัตว์แห่งนี้ คงไม่พ้นเป็น “แม่มะลิ” ฮิปโปโปเตมัส อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นฮิปโปโปเตมัสที่มีอายุมากที่สุดในประเทศไทยนั่นเอง โดยสวนสัตว์ดุสิตได้รับ “แม่มะลิ” มาจากสวนสัตว์ทีลเบิร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2510 ในขณะนั้น แม่มะลิ มีอายุเพียง 1 ปี นับตั้งแต่แม่มะลิได้ย้ายเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของสวนสัตว์ดุสิต มีลูกทั้งหมด 14 ตัวด้วยกัน และในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม่มะลิจะถูกย้ายไปอยู่ในการดูแลของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จนกว่าการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่จะเสร็จสิ้น มุมถ่ายรูป มุมมหาชน สำหรับมุมมหาชน ที่ใครไปเยือนสวนสัตว์ดุสิตแล้วไม่ได้แชะภาพ ถือว่าไม่ถึง คือ มุมที่สามารถเห็น “พระที่นั่งอนัตสมาคม” เป็นฉากหลัง ตัดกับสระน้ำที่อยู่ตรงกลางสวนสัตว์เขาดินนั่นเอง ส่วนใครจะ “ปั่นเรือจักรยานนาวา” เพื่อไปถ่ายภาพกลางสระน้ำ หรือเดินลัดเลาะรอบสระน้ำ เพื่อหามุมถ่ายภาพเก๋ ๆ ในแบบฉบับของตัวเองก็ได้ แต่หากคุณแวะไปทานอาหารที่ร้าน “ครัววังวนา” แนะนำให้ขึ้นไปนั่งที่บริเวณชั้น 2 ตรงจุดนั้น ก็เป็นอีกมุมยอดฮิตในการเก็บภาพพระที่นั่งอนัตสมาคม หนึ่งในเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องด้วยที่ตั้งสวนสัตว์ดุสิต อยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ทำให้เวลาที่มีการชุมนุมฯ บริเวณโดยรอบสวนสัตว์ดุสิตอาจถูกปิด จึงทำให้ยอดการเข้าชมในช่วงดังกล่าวตกลง ขณะที่บรรดาสัตว์นานาชนิดก็ได้รับผลกระทบ ยามที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เนื่องจากสัตว์บางตัวตกใจกับเสียงยิงแก๊สน้ำตา เสียงปืน จนวิ่งชนกรงได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น การตัดสินใจย้ายสวนสัตว์ดุสิตออกไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ ที่กว้างขวางกว่าเดิม และไม่ใช่จุดยุทธ์ศาสตร์ทางการเมือง อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ สถานที่สร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ คือ ที่ใด สำหรับพื้นที่แห่งใหม่ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10” ทรงพระราชทานโฉนดที่ดิน ตรงบริเวณคลอง 6 ฝั่งตะวันออก ถนนรังสิต-นครนายก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จำนวน 300 ไร่ (ขนาดใหญ่กว่าสวนสัตว์ดุสิตเดิมถึง 3 เท่า) ให้กับองค์การสวนสัตว์ เพื่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ปัจจุบัน สวนสัตว์แห่งใหม่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการออกแบบ โดยคาดว่า ใช้เวลาในการออกแบบโครงสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ อย่างน้อย 1-2 ปี และจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณปี 2565 และในระหว่างที่รอให้สวนสัตว์แห่งใหม่ก่อสร้างเสร็จ เหล่าสัตว์นานาชนิดภายในสวนสัตว์ดุสิต จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังสวนสัตว์ที่อยู่ภายใต้การบริหารขององค์การสวนสัตว์ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์สงขลา, สวนสัตว์อุบลราชธานี และสวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์แห่งใหม่ ยังคงใช้ชื่อ “สวนสัตว์ดุสิต” หรือไม่ ในเบื้องต้น สวนสัตว์แห่งใหม่ จะถูกเรียกในชื่อ “สวนสัตว์ปทุมธานี” ไปจนกว่า จะมีการตั้งชื่อให้ใหม่ (อาจขอพระราชทานชื่อสวนสัตว์หรือจัดประกวดตั้งชื่อ) ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , tonkit360
หลายๆ คนไปเที่ยวชุมพรคงจะได้มีโอกาสไปสักการะศาลกรมหลวงชุมพรที่หาดทรายรีกันมาบ้างแล้ว ซึ่งที่นั่นถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองชุมพรที่ใครๆ ต่อใครมาเที่ยวก็ต้องแวะมาสักการะให้ได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วในจังหวัดชุมพรเองยังมีศาลกรมหลวงชุมพรอีกแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขาอำเภอสวี ที่นี่มีชื่อว่า ศาลกรมหลวงชุมพรหัวเขาถ่าน! สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของพระตำหนักของพลเรือเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรณ์เกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่สร้างขึ้นบนหัวเขาถ่าน ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เป็นที่สักการะของประชาชนในละแวกใกล้เคียงและชาวชุมพรทุกคน โดยด้านบนสามารถชมวิวทะเลและหาดทรายได้ไกลสุดลูกหูลูกตา มีทัศนียภาพที่งดงาม เป็นจุดชมวิวลับๆ ที่หลายคนยังไม่เคยมาเที่ยวในชุมพร การเดินทางไปสู่ยอดเขาเพื่อสักการะกรมหลวงชุมพรบนหัวเขาถ่านนั้นสามารถขับรถไปขึ้นไปจอดบนยอดได้เลย มีความสะดวกและปลอดภัย ใครที่กำลังมีแพลนไปเที่ยวชุมพร ลองแวะไปเช็กอินที่นี่กันดูครับ วิวข้างบนสวยมากๆ แถมคนไม่เยอะเท่าศาลกรมหลวงชุมพรที่หาดทรายรีด้วย เป็นอีกหนึ่งจุดอันซีนน่าเที่ยวของจังหวัดชุมพรเลยก็ว่าได้ ที่ตั้ง : ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เวลาเปิด - ปิด : 09.00 - 17.00 น. ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , Peeranut P.
สัมผัสวิถีชีวิตที่อยู่คู่กับสายน้ำ ดื่มด่ำกับความงดงามของศิลปะและวัฒนธรรม สมบัติล้ำค่าที่ยังคงหลงเหลือมาจากยุคอยุธยา ชิมอาหารอร่อยที่แปลกตาหาทานไม่ได้ที่อื่น ทั้งหมดที่เราพูดถึงนี้รวมอยู่ในที่เดียว "หมู่บ้านสาขลา" หมู่บ้านสาขลาเป็นชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีคลองสรรพสามิตไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ในอดีตที่นี่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่ทัพพม่าเคยยกผ่าน และในช่วงนั้นผู้ชายในหมู่บ้านได้ยกทัพไปช่วยสู้รบในพระนครกันหมด เหลือแต่เพียงผู้หญิง และเด็กเล็กเท่านั้น แต่กระนั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับทำให้สร้างวีรสตรีขึ้นมา เพราะผู้หญิงในหมู่บ้านทุกคนต่างช่วยกันจับดาบลุกขึ้นสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะในที่สุด จึงเป็นสาเหตุที่ให้เรียกหมู่บ้านแห่งนี้ว่าหมู่บ้านสาวกล้า และเพี้ยนมาเป็นหมู่บ้านสาขลาจนถึงทุกวันนี้ โดยแต่ก่อนชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพทำนาเกลือเป็นหลัก ก่อนจะเปลี่ยนมาทำฟาร์มกุ้ง ฟาร์มหอย หาเลี้ยงชีพกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงจะเห็นได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อุดมไปด้วยอาหารทะเลเป็นอย่างมาก ใครที่ชอบกินอาหารทะเลสามารถขับรถมาทานได้ใกล้ๆ กรุงเทพฯเลยครับ หลังจากที่นี่เคยเป็นเมืองลับแลที่ซุกซ่อนความงดงามเอาไว้อยู่ในสายน้ำ ปัจจุบันหมู่บ้านสาขลาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว ด้วยความโด่งดังของวัดสาขลา วัดประจำหมู่บ้านที่เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทุกคน ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวสาขลานั่นก็คือหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ เป็นพระประธานประดิษฐานอยู่ด้านในโบสถ์ และพระปรางค์เอียงสมัยอยุธยา ที่ถือว่าเป็นอันซีนแห่งเดียวในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่นเดินลอดโบสถ์ที่ทางวัดได้ขุดไว้เป็นอุโมงค์ให้นักท่องเที่ยวได้เดินลอด โดยเป็นความเชื่อในพระพุทธศาสนาว่าหากได้มีโอกาสได้เดินลอดโบสถ์นั้นจะได้บุญมาก ภายใต้โบสถ์นั้นจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักท่องเที่ยวสักการะอีกมากมาย เช่น หลวงพ่อบัวเข็ม และโบราณวัตถุที่ทางวัดขุดพบในตอนที่ทำการขุดใต้โบสถ์ โดยมีสัญลักษณ์แห่งความเก่าแก่ให้ทุกคนได้ชมกันไม่ว่าจะเป็นลูกนิมิตสมัยโบราณที่ถูกฝังไว้นานเป็น 100 ปี หรือพระเก่าที่ถูกขุดขึ้นมาศิลปะสมัยอยุธยา เป็นต้น นอกจากลอดโบสถ์แล้ว ยังมีหอคอยแบบเรือนไทยที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ด้านบน และพิพิธภัณฑ์ของเก่าบ้านสาขลา ที่เก็บรวบรวมของใช้สมัยโบราณของบ้านสาขลาเอาไว้อย่างมากมายอีกด้วย หลังจากเที่ยวภายในวัดแล้วก็สามารถเดินต่อไปที่ตลาดโบราณบ้านสาขลาได้อีกด้วย โดยในส่วนนี้คุณจะได้สัมผัสกับความคลาสสิค และความเก่าแก่ของชุมชนบ้านสาขลาได้อย่างเต็มที่ บ้านเรือนสองฝั่งคลองยังคงโครงสร้างเดิมที่สร้างจากไม้ ร้านค้าและร้านอาหาร เปิดให้บริการกันอย่างคึกครื้น บางร้านยังคงขายสินค้าที่เราเห็นกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่ มาเดินเล่นตลาดที่นี่เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในตอนเด็กๆ เลยทีเดียว เป็นบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึง และเต็มไปด้วยความอบอุ่นแบบสุดๆ ระหว่างทางเดิน จะมีจุดชมวิวสองฝั่งคลองให้ได้ชม มองๆ ไปแล้วที่นี่ก็มองดูคล้าย เมืองเวนิสของประเทศอิตาลีเลยทีเดียว เพราะลำคลองที่ไหลผ่านตัวหมู่บ้านนั้น เป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ที่ชาวบ้านยังคงใช้สัญจรไปมากันเป็นปกติ เป็นสายน้ำแห่งชีวิตของชาวบ้านทุกคนจริงๆ เมื่อเดินกันจนสุดทางก็จะวนกลับมาที่ วัดสาขลาอีกครั้ง ก่อนจะกลับเราสามารถแวะซื้อของฝากและของทะเลสดๆ ที่นี่ได้ โดยของขึ้นชื่อของหมู่บ้านสาขลาก็คือ "กุ้งเหยียด" หากใครนึกภาพไม่ออกว่ากุ้งเหยียดหน้าตาเป็นอย่างไร ให้ลองนึกภาพกุ้งที่มีตัวเหยียดตรงผิดธรรมชาติกันดูครับ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่แปลกตาไม่มีที่อื่นแน่นอน เพราะกุ้งเหยียดนี้คือภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสินค้าของดีจากสาขลาที่ไม่ควรพลาดซื้อติดไม้ติดมือกลับไปทานกัน โดยรวมแล้วหมู่บ้านสาขลาแห่งนี้คือที่เที่ยวใกล้กรุงเทพที่สามารถเดินทางมาเที่ยวได้แบบชิลๆ ใช้เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น ที่นี่ยังคงมีธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ มีป่าชายเลน มีแม่น้ำ มีสถาปัตยกรรมอันงดงาม และมีวิถีชีวิตริมน้ำสุดคลาสสิคให้เราได้ชม ที่สำคัญที่นี่ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงดิบใหม่อยู่ มีผู้คนรู้จักไม่มากนัก ทำให้ยังคงไว้ได้ซึ่งความสงบ ผู้คนน่ารักเป็นมิตร และพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวเสมอ หากว่าคุณกำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุงเทพอยู่ ลองมาบันทึกความทรงจำที่หมู่บ้านสาขลาแห่งนี้กันดูครับ รับรองว่าที่แห่งนี้จะมอบรอยยิ้มให้คุณกลับไปแน่นอน ที่ตั้งหมู่บ้านสาขลา : ตำบลนาเกลือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook,Peeranut P.
เมื่อลมหนาวกำลังมาเยือน แต่สายฝนก็ยังไม่ยอมบอกลา สถานการณ์ที่ทั้งหนาวและชุ่มฉ่ำเช่นนี้ จะจัดทริปหอบเป้ไปลุยปลายฝนต้นหนาวที่ไหนดี วันนี้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมาฝากกัน 1.บ้านป่าบงเปียง จ.เชียงใหม่ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว ที่คุณจะได้ดื่มด่ำไปกับกลิ่นอายฝน สายหมอกยามเช้า และความสวยงามต้นข้าวสีเขียวขจีที่ปลูกลดหลั่นไล่ระดับ เป็นขั้นบันไดที่สวยงาม ยิ่งหากคุณมาเยือน “บ้านป่าบงเปียง” ช่วงปลายฝนต้นหนาว (ประมาณปลายเดือนตุลาคม จนถึงกลางเดือนพฤศจิกาน) ภาพทุ่งข้าวสีเขียวขจี จะแปรเปลี่ยนเป็น “ทุ่งข้าวสีเหลืองทองอร่าม” ที่จะดูงดงามเกินหาคำบรรยาย ยามกระทบแสงสีเหลืองทองอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์ ยามโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า หรือยามลาลับเหลี่ยมขอบฟ้า 2.บ้านจ่าโบ่ จ.แม่ฮ่องสอน “ชุมชนบ้านจ่าโบ่” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างปายมากนัก เหมาะกับผู้ที่อยากไปสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่อยากไปสัมผัสบรรยากาศแสงอาทิตย์ส่องมากระทบสายหมอกเบา ๆ ด้วยแล้ว บอกเลยว่า ยามเช้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งคุย นั่งทานข้าว นั่งจิบกาแฟ หรือนั่งตั้งกล้องรอเก็บภาพ วินาทีที่แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นเหลี่ยมเขา ณ บ้านจ่าโบ่ เป็นภาพที่งดงามไม่แพ้ที่ใดแน่นอน และบ้านจ่าโบ่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามของธรรมชาติเท่านั้น ยังมีวิถีชีวิตชนเผ่าที่น่าสนใจและน่ามาเรียนรู้อีกด้วย 3.ดอยหัวหมด อ.อุ้มผาง จ.ตาก ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนสักครั้งในชีวิต ด้วยยอดดอยที่มีระดับความสูงไม่มากนัก แถมเส้นทางขึ้นไปยังยอดดอยหัวหมดก็อยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถ เรียกว่า ลงจากรถและเดินวอร์มร่างกายเบา ๆ คุณก็ได้พบกับวิวทิวทัศน์ที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างแล้ว แม้ไม่สามารถชมวิวได้กว้างถึง 360 องศา แต่ภาพปุยเมฆท่ามกลางทิวเขาที่สลับซ้อนทับกันไปมา ตัดกับสีเขียวชอุ่มของพื้นป่าที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางเมฆหมอก ที่ถูกแต่งเติมด้วยสีเหลืองทองอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ ก็เป็นภาพที่สวยงามและชวนให้หลงใหลไม่น้อย 4.อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา “เขาใหญ่” คงเป็นชื่อที่คุ้นหูใครต่อใคร พื้นป่าอันอุดมไปด้วยต้นไม้ พรรณไม้นานาชนิด และสัตว์ป่านานาชนิด ทำให้เขาใหญ่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุง ที่เหมาะไปเรียนรู้การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ และมีที่พักให้เลือกทั้งแบบกางเต็นท์นอนหรือบ้านพัก ส่วนกิจกรรมบนเขาใหญ่ก็มีให้เลือกทำมากมาย ไม่ว่า จะเป็นการเดินสำรวจตามเส้นทางธรรมชาติ ที่จะพาคุณเดินลัดเลาะผ่านพื้นป่าในระยะทางไม่ใกล้ ไม่ไกลมากนัก ระหว่างเส้นทางนอกจากป่าเขียวแล้ว คุณจะได้พบกับพื้นที่โล่งที่มี “โป่ง” แหล่งอาหารเล็ก ๆ ของเหล่าสัตว์ป่า หรือจะเป็นหอชมวิว แต่หากคุณอยากสัมผัสละอองน้ำเล็ก ๆ น้ำตกเหวนรก หรือน้ำตกเหวสุวัต ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หรืออยากเก็บภาพวิวสวย ๆ “ผาเดียวดาย” ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวมักแวะไปเช็กอิน เมื่อยามค่ำคืนมาเยือน การนั่งพูดคุยกันเบา ๆ ท่ามกลางแสงดาว อาจดูโรแมนติกไม่น้อย แต่เชื่อเถอะว่า การนั่งรถออกไปสอดส่องชีวิตของสัตว์ป่ายามค่ำคืน ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน 5.ภูป่าเปาะ จ.เลย หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟูจิเมืองเลย” จัดเป็นจุดชมวิวที่เหมาะแก่การนั่งชมทะเลหมอกที่ห้อมล้อมรอบภูหอเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคุณสามารถมาเที่ยว “ภูป่าเปาะ” ได้ทุกฤดู เพราะความสวยงามในแต่ละฤดูงดงามไม่แพ้กันทีเดียว หากไปเที่ยวช่วง “ฤดูร้อน” คุณจะพบกับภาพสีเหลืองทองของทุ่งหญ้าและขุนเขา แต่ใน “ฤดูฝน” จากภาพสีเหลืองทอง แปรเปลี่ยนเป็นความชุ่มฉ่ำและสีเขียวขจีของภูเขาและท้องนา ขณะที่ “ฤดูหนาว” คุณจะได้พบกับทะเลหมอกที่อยู่ท่ามกลางสีเขียวขจีของพื้นป่า 6.เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก หรือ “เขื่อนคลองท่าด่าน” ถือเป็นเขื่อนที่มีจุดชมวิวสวยงามอีกจุดหนึ่งของ จ.นครนายก และนับตั้งแต่มีการเปิดใช้งานเขื่อนขุนด่านฯ อย่างเป็นทางการ ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลั่งไหลไปชมวิวที่เหนือสันเขื่อนแห่งนี้ แต่เขื่อนขุนด่านฯ ไม่ได้มีดี แค่วิวบนสันเขื่อนเท่านั้น ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ของเกาะกลางน้ำที่กระจายตัวอยู่รอบเขื่อนที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ ที่สำคัญ บางเกาะก็เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชื่นชมธรรมชาติ และเล่นน้ำตกเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะนั้น ๆ ได้ ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : sanook,tonkit360
สัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด ท่ามกลางความเงียบสงบใกล้กรุง ที่ “เนินมะปราง” สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในหน้าฝน ที่จะทำให้ได้พบกับสวรรค์แห่งขุนเขาและการพักผ่อนที่แท้จริง “เนินมะปราง” เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก ถือได้ว่าเป็นอำเภอเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ในอำเภอเล็กแห่งนี้ได้แอบแฝงธรรมชาติที่สวยงาม และภูเขาหินปูนรูปทรงสวยงามต่างๆ เอาไว้อยู่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ สดชื่น ในหน้าฝน แอดเลยจัดทริปเล็กๆ เที่ยว 2 วัน 1 คืน ที่เนินมะปรางมาฝากกัน พร้อมแล้วไปดูกันว่าจะเที่ยวที่ไหนได้บ้าง การเดินทางจากกรุงเทพมายังที่นี่ จะใช้เวลาอยู่ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง … จุดแรกที่แวะพักสำหรับทริป “สัมผัสแห่งขุนเขาที่เนินมะปราง” ก็คือที่ “บ้านรักไทย” ไปตามหาต้นไม้รูปหัวใจที่ตั้งโดดเด่นสวยงาม พร้อมชมวิวธรรมชาติสีเขียวของที่นี่ และยังมีชิงช้าให้นั่งชิลล์ๆ มองชิมวิวธรรมชาติแบบเพลินๆ กันอีกด้วย หรือจะไปยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอดกันก็ได้นะ ชมวิวกันที่บ้านรักไทยกันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางสู่ตำบลบ้านมุง ชมทุ่งดอกทานตะวันที่ “บ้านไร่ภูตะวัน” เป็นจุดชมวิวที่สามารถชมภูเขาหินปูนที่สูงใหญ่และสวยงามได้อย่างใกล้ชิด เดินถัดมาจากบ้านไร่ภูตะวัน เข้ามาข้างในป่า ไปตามหาน้ำตกเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านในที่ “น้ำตกขุนห้วยเทิน” น้ำตกเล็กๆ ที่มีความสวยงาม ลงไปเล่นน้ำสร้างความสดชื่นช่วงบ่ายๆ เที่ยวชมธรรมชาติและภูเขาหินปูนเพลินๆ เล่นน้ำสร้างความสดชื่นให้กับตัวเองแล้ว ก็ได้เวลาหาที่พักสำหรับคืนนี้ ภายในตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จะมีโฮมสเตย์ราคาถูกมากมายให้ได้เลือกพักกัน ชอบที่ไหน พักกันได้เลย หลังจากเก็บของเข้าที่พักกันเรียบร้อย ก็มาถึงจุดชมวิวไฮไลท์ในช่วงเย็นของที่นี่กับการชมค้างคาวบินออกมาจากถ้ำ นั่งรอกันเพลินๆ จนถึงเวลา 6 โมง ก็ได้เวลาของค้างคาว ที่จะบินออกมาเป็นฝูง บินเป็นสายสวยงามในยามเย็น ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาด เมื่อมาที่นี่กัน ถ้าใครที่ได้มาในวันที่ฟ้าเปิด ก็อาจจะได้พบกับความสวยงามในยามค่ำคืนของ “ทางช้างเผือก” กันได้อีกด้วยนะ เช้าวันที่ 2 ตื่นมารับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ชมวิวสวยๆ ของไร่ข้าวโพด ชมวิถีการใช้ชีวิตของชาวสวน ช่วงสายก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นชมท้องนา ทุ่งข้าวเขียวขจี พร้อมชมวิวภูเขาหินปูนที่สวยงาม วิวธรรมชาติของอำเภอเนินมะปรางโดยล้อม ท่ามกลางบรรยากาศที่เขียวสงบ และอากาศสุดแสนบริสุทธิ์ นี่แหละคือการพักผ่อนที่แท้จริง ก่อนเดินทางกลับ หากใครกำลังมองหาที่พักผ่อนในช่วงหน้าฝนหรือหน้าหนาว ลองเก็บกระเป๋ามาพักผ่อนกันที่ “อำเภอเนินมะปราง” กันได้นะครับ แล้วคุณจะหลงรักกับธรรมชาติพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นของที่นี่กัน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook , paapaii
คอนเท้นต์นี้สำหรับคนที่รักในการผจญภัยอย่างแท้จริง เพราะเราจะพาทุกคนไปเปิดประสบการณ์สำรวจถ้ำน้ำโบราณที่มีอายุมากกว่า 1.8 ล้านปี ที่นี่มีชื่อว่าถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำเลสเตโกดอนตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสตูล เดิมมีชื่อว่าถ้ำวังกล้วย เป็นถ้ำน้ำที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย แต่สาเหตุที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่าถ้ำสเตโกดอนเป็นเพราะว่าได้มีชาวบ้านที่พายเรือเข้าไปหากุ้งภายในถ้ำ ได้ไปพบกับซากดึกดำบรรพ์ของช้างสเตโกดอน ช้างสายพันธุ์โบราณยุคดึกดำบรรพ์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้มาก่อน ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเลยทีเดียว การผจญภัยภายในถ้ำเลสเตโกดอนนี้จะต้องนั่งเรือคายัคลอดผ่านใต้ถ้ำเข้าไประยะทางกว่า 4 กิโลเมตร โดยภายในถ้ำนี้จะมีหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆ ให้เราได้ดูกันเป็นระยะๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่พวกเราตลอดเวลา ในช่วงแรกนั้นเนื่องจากวันนี้น้ำในถ้ำมีระดับต่ำมาก บางช่วงเราจึงต้องลงจากเรือและปีนพนังถ้ำเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งและรอให้พี่คนเรือมาช่วยกันดึงเรือข้ามสันหินแคบๆ ผ่านไป การนั่งเรือลอดผ่านถ้ำที่มืดสนิทนี้ถือเป็นความท้าทายจิตใจและความกล้าของเราเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเราผ่านมาได้ก็จะได้พบกับหินหงอกหินย้อยที่งดงามซึ่งถือว่าเป็นอันซีนของจังหวัดสตูลเลยก็ว่าได้ โดยพี่คนเรือก็จะคอยอธิบายและบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของหินงอกหินย้อยแต่ละจุดให้เราฟัง ไม่ว่าจะเป็นหินนางฟ้า ที่เป็นลักษณะของปีกนางฟ้าขนาดใหญ่ หรือหินหัวใจช้าง ซึ่งมีรูปร่างเหมือนหัวใจจริงๆ เป็นต้น มีบางช่วงที่เรือของเราเกิดรั่วขึ้นมาเพราะชนกับก้อนหินในถ้ำจนต้องจอดเรือและพลิกเรือเพื่อให้พี่คนเรือช่วยกันยาเรือจนสำเร็จก็มี แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ในการผจญภัยในชีวิตได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในถ้ำนั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน ตื่นเต้นสุดๆ ในทุกช่วงของการผ่านถ้ำ เมื่อพี่คนเรือพาเรามาส่งยังจุดหมายปลายถ้ำ เราก็จะต้องต่อเรือหัวโทงที่มารอรับเราอยู่บริเวณป่าชายเลนหลังถ้ำ ซึ่งเรือลำนี้จะพาเราไปส่งที่ท่าเรือจุดชมวิวท่าอ้อยนั่นเอง แต่ความพีคของวันนี้ยังไม่จบแค่ในถ้ำ เพราะระหว่างทางที่เรือหัวโทงขับพาเราออกไปนั้นสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้ในป่าชายเลนที่มีความเขียวขจีถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาใหญ่ดูสวยงามสบายตามากๆ เมื่อเรือมาจอดส่งเราถึงจุดชมวิวท่าอ้อย ก็มีวิวสายน้ำที่ทอดยาวไปตามแนวป่าชายเลนให้เราชมเป็นการปิดท้ายการแสดงโชว์จากธรรมชาติในวันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้วถ้ำเลสเตโกดอนแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สมควรใช้คำว่า Unseen Thailand อย่างแท้จริง ความแปลกใหม่ที่หลายคนยังไม่เคยได้สัมผัส ความตื่นเต้นท้าทาย และสนุกสนาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างความประทับใจ เป็นบทหนึ่งของการเดินทางที่เราสามารถนำไปเล่าต่อให้ใครต่อใครฟังได้แบบไม่มีเบื่อเลยทีเดียว ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ตั้งถ้ำเลสเตโกดอน : บ้านคีรีวง ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ขอขอบข้อมูลและภาพประกอบจาก :sanook , Peeranut P.
ได้เวลาลั้นลาเที่ยวใกล้กรุง! แบบสบาย สบาย สไตล์ One Day Trip เที่ยวชมธรรมชาติ กินของอร่อยตลาดน้ำ กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกิจกรรมอีกมากมายที่จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มต้นทริปใกล้กรุง “เที่ยว ชิล ชิม แชะ วันเดียวเที่ยวสมุทรปราการ” ตื่นเช้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ “คุ้งบางกระเจ้า” ปั่นจักรยานชมธรรมชาติ เดินชิล นั่งรับลม หามุมถ่ายรูปสวยๆ ถ่ายรูปเช็คอิน สูดอากาศดีในยามเช้ากันเต็มปอดละ ไปหาอะไรกินต่อที่ “ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง” ตลาดตอนเช้าบรรยากาศดีของจังหวัดสมุทรปราการ บอกเลยว่าถ้าใครได้มาที่บางกระเจ้าแล้ว ต้องมาแวะที่นี่ เพราะว่าอาหารการกินที่นี่มีให้เลือกมากมาย รวมไปถึงสินค้า OTOP ที่สร้างสรรค์จากคนในชุมชนบางน้ำผึ้ง และตำบลใกล้เคียงในจังหวัดสมุทรปราการ ออกเดินทางต่อไปยังปูชนียสถานเก่าแก่ที่สำคัญของที่นี่ “พระสมุทรเจดีย์” หรือเรียกอีกชื่อว่า “พระเจดีย์กลางน้ำ” ซึ่ถือว่าเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาชมเมื่อมาถึงจังหวัดนี้กันแล้ว กราบไหว้ชมความเก่าแก่ของสถานที่ไปแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ “พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ” ไปชมสถาปัตยกรรมที่งดงาม ทั้งภายนอกและภายใน ได้เวลาความสนุก กับการแสดงโชว์ของแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของที่นี่ “ฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ” ชมสัตว์มากมายหลายชนิด แล้วไปรับชมการแสดงโชว์สุดหวาดเสียวของเหล่าไกรทองผู้กล้าหาญ ฮ่าๆ เสียวแทนเลย ชมโชว์กันเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมหาอะไรกินมื้อกลางวันกัน กินมื้อเที่ยงกันเสร็จแล้ว ได้เวลาไปเที่ยวต่อที่ “วัดอโศการาม” วัดที่ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงามทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนของพระธาตุตังคเจดีย์ เป็นพระเจดีย์หมู่ 13 องค์ที่โดดเด่นสง่า และกราบไหว้พระพุทธชินราชจำลอง เพื่อขอพรสิ่งดีๆ ได้สัมผัสธรรมชาติในยามเช้า เที่ยวตลาดน้ำ กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเพลิดเพลินกับการแสดงใชว์กันแล้ว ก็ได้เวลาท่องเที่ยวชมประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ “เมืองโบราณ” ที่ได้มีการจำลองเรื่องราวของเมืองไทยในอดีต รวบรวมศิลปะงานช่างอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี ล้านนา ล้านช้าง สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงรัตนโกสินทร์ เดินกันเพลินๆ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันทั้งช่วงบ่าย ก่อนเดินทางกลับบ้าน ก่อนปิดทริป “เที่ยว ชิล ชิม แชะ วันเดียวเที่ยวสมุทรปราการ” มาดูความสวยงามในยามค่ำคืนของ “สะพานภูมิพล” หรือเรียวอีกชื่อว่า “สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ของจังหวัดที่ต้องลองมาชมกัน จบแล้วกับแพลนการเที่ยวหนึ่งวันชิลๆ ที่จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดใกล้กรุงที่เดินทางสะดวก พร้อมกับแหล่งท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ให้ได้มาเที่ยวเล่นกันแบบเช้า-เย็นกลับ ใครกำลังหาที่เที่ยวใกล้ๆ ลองมาเที่ยวที่นี่กันนะครับ ที่มา >>> sanook , paapaii
การได้ชื่อว่าเป็นผู้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกภูมิใจเสมอ ซึ่งวันนี้ มีเส้นทางการเดินป่าเก่าแก่แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมาแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งขอบอกเลยว่าถึงแม้ตอนนี้ทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่ แต่ถ้าหากได้ลองชมภาพความสวยงาม และความมหัศจรรย์ของที่นี่แล้ว ที่นี่จะกลายเป็น Unseen Thailand แน่นอน ผาขุนแตะ ดอยผ้าขาวน้อย จังหวัดเชียงใหม่ ผาขุนแตะ ดอยผ้าขาวน้อย ตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างอุทยานแห่งชาติออบหลวง และอุทยานแห่งชาติอินทนนท์ เป็นเขตกั้นระหว่าง อำเภอจอมทองและแม่แจ่ม การจะขึ้นสู่ยอดผาขุนแตะ ดอยผ้าขาวน้อย นั้นต้องใช้รถมอเตอร์ไซด์วิบากจากคนในพื้นที่ที่ชำนาญเส้นทางหรือใช้จักรยานเท่านั้น เนื่องจากทางค่อนข้างชันและมีความขรุขระพอสมควร ระหว่างทางขึ้นเขาก็จะมีธรรมชาติและจุดชมวิวให้ได้แวะชมอยู่เป็นระยะ เช่น น้ำตกแม่เกี๊ยะ จุดชมวิวผาแตะ เป็นต้น ซึ่งการได้ชมความสวยงามของธรรมชาติระหว่างทางนั้น ก็ช่วยทำให้หายเหนื่อยจากการเดินทางไปได้ชั่วขณะเปรียบเสมือนกับตัวอย่างของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่กำลังรอฉายให้เราชมอยู่บนยอดเขา และเมื่อเดินทางมาถึงยอดเขาแล้วนี่แหละครับของจริง! วิวธรรมชาติแบบพาโนราม่า มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียวขจี ป่าที่นี่สมบูรณ์มากจริงๆ เมื่อได้ขึ้นมายืนในจุดนี้เราจะรู้สึกได้ถึงความอิสระของชีวิต ลมเย็นๆ ที่วิ่งเข้ามาปะทะหน้าวิวธรรมชาติสุดอลังการ ช่วยเตือนใจให้เรารับรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ไฮไลท์ของที่นี่ยังไม่จบลงแค่นี้ เพราะจุดที่พีคที่สุดในการมาเที่ยวผาขุนแตะนั้น ต้องเดินเท้าต่อไปอีก ซึ่งทางเดินต่อไปนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง ต้องเดินลงไปพร้อมกันหลายๆ คนเพื่อคอยช่วยเหลือกัน ห้ามเดินลงไปคนเดียวเด็ดขาด หรือถ้าเป็นไปได้ควรนำเชือกมารัดตัวเอาไว้ เพราะทางแคบและลื่นมากจริงๆ หากสะดุดพลาดไปอาจถึงขั้นตกเขาได้เลยทีเดียว ทางเดินลงหน้าผามีความชันและลื่นมาก เป็นทางเดินลงหน้าผาหินที่มีปลายทางคือจุดชมวิว ที่เราคิดว่าสวยงามและแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลยทีเดียว บริเวณนี้จะมีลักษณะคล้ายกับปากถ้ำ สามารถเดินเลาะขอบหน้าผาเพื่อไปนั่งถ่ายรูปเท่ๆ กันได้ รับรองว่าจะต้องเป็นรูปภาพที่ทรงคุณค่าและไม่ค่อยมีใครได้เคยเห็นมุมลับแห่งนี้แน่นอน ระหว่างทางที่เดินทางขึ้นมาที่นี่เราอาจจะบ่นกับตัวเองว่า มาทำอะไรที่นี่! มาลำบากทำไม และคงจะท้อกับความท้าทายของเส้นทาง แต่เมื่อคุณได้มาพิชิตที่นี่แล้วจริงๆ ความรู้สึกคุณจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหลือแต่เพียงความรู้สึกที่อยากจะเก็บรักษาธรรมชาติเหล่านี้ให้คงอยู่กับผืนป่าไทยให้นานที่สุด คุณไม่มีทางเข้าใจความสวยงามของที่เที่ยวแต่ละที่ผ่านทางรูปภาพได้เลย เพราะความสวยงามในรูปภาพนั้น เต็มไปด้วยความทุ่มเทในการเดินทาง ความตื่นตันใจที่ได้พิชิต ความตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ ออกไปเที่ยวเมืองไทยกันดีกว่าครับ ยังมีอีกหลายที่เที่ยวที่ยังคงสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ไม่แน่นะครับการเดินทางครั้งต่อไปของคุณอาจจะค้นพบ Unseen Thailand เป็นของตัวเองก็เป็นได้ ที่ตั้งผาขุนแตะ ดอยผ้าขาวน้อย : ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่มา >>> sanook,Peeranut P.
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |