ทุ่งหญ้าผืนกว้างที่ปกคลุมยอดดอยแม่โถ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ กำลังเขียวขจีในช่วงฤดูฝน จุดนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติรอบตัวแบบ 360 องศา และกำลังจะถูกเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอฮอด โดยนายจิรายุ งอกงาม นายก อบต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมเตรียมเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่นี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าทุ่งหญ้าสะวันนาบนยอดดอย หรือ ทุ่งหญ้า 360 องศา ทุ่งหญ้าแห่งนี้พิเศษกว่าที่อื่น ๆ เพราะนักท่องเที่ยวขึ้นไปแล้วสามารถมองทิวทัศน์ที่สวยงามรอบด้านได้ถึง 360 องศา ยิ่งช่วงกรีนซีซั่นจะเห็นท้องฟ้าสีครามตัดกับผืนหญ้าเขียวขจี บางครั้งจะมีเมฆฝนพัดผ่านมาทำให้เกิดความสวยงามของธรรมชาติที่รังสรรค์ ขึ้นจึงเป็นที่ชื่นชอบ ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย ทาง อบต.จึงเตรียมพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอ คาดเปิดเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ สำหรับเส้นทางเข้าสู่ทุ่งหญ้าสะวันนาดอยแม่โถ เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ระยะทาง 80 กิโลเมตร ถึงอำเภอฮอด แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนสายฮอด-แม่สะเรียง ถึงปากทางแยกเข้าหมู่บ้านกองลอย ขึ้นสู่ดอยแม่โถ ระยะ 16 กิโลเมตร ถึงพื้นที่ทุ่งหญ้าสะวันนา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.081-884 9919
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
0 Comments
หลังจากที่ได้มีข่าวการพบกับตำนานพญาวารที่ เขาหน่อ ซึ่งเป็นลิงที่มีขนาดเท่ากับคนจริงถูกบันทึกภาพไว้ได้โดยเทศกิจนายหนึ่ง เป็นภาพของพญาวานรตัวใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขา ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเขาหน่อ-เขาแก้ว แห่งนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งที่นี่ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวในหมู่นักท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเมืองนครสวรรค์ที่ถูกใจคนชอบเที่ยวธรรมชาติอย่างแน่นอน เขาหน่อแห่งนี้ตั้งอยู่ใน พื้นที่ ต.บ้านแดน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา และมีเส้นทางเดินเท้าให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเยี่ยมชมวิวทิวทัศน์ด้านบนกันได้ ผ่านบันไดกว่า 1,000 ขั้น! ซึ่งบอกเลยว่าสำหรับสายลุยนั้นคุณจะต้องชื่นชอบที่นี่อย่างแน่นอน เพราะในช่วงสุดท้ายของการขึ้นเขานั้น จะเป็นบันไดลิงเหล็กที่คุณจะต้องปีนป่ายถ้าทายความสูงชันขึ้นไป เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่หลายๆ คนชื่นชอบเป็นอย่างมาก วิวด้านบนเขาหน่อนั้นคุณจะได้กับความตระการตาของธรรมชาติ ภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่ทอดตัวไปตามทุ่งนา เป็นภาพที่ดูแปลกตา และน่าอัศจรรย์มากๆ วิวโดรอบก็สวยงาม มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ความเขียวขจี เป็นภาพมุมสูงที่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งจริงๆ สำหรับในแง่ของตำนานพญาวานรนั้น ผูเฒ่าผู้แก่แถวๆ เขาหน่อเล่ากันว่า พญาวานรบนเขาหน่อนั้นมีอยู่จริง โดยจะมีลักษณะพิเศษคือมีลำตัวใหญ่โตกว่าฝูงลิงทุกตัว นานๆ ทีจมีผู้พบเห็น โดยขนาดตัวของพญาวานรนั้นใกล้เคียงของขนาดมนุษย์เลยทีเดียว ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน แต่สุดท้ายแล้วหากพูดถึงเขาหน่อที่นี่ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อันซีนมากๆ และควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมด้วยตาตัวเองจริงๆ ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ตั้งเขาหน่อ : ต.บ้านแดน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก :sanook ,Peeranut P. สวนนงนุชพัทยา ส่งเสริมโครงการไทยเที่ยวไทย เปิดบ้านให้ 9 จังหวัด 10 เขต กทม. เที่ยวชมสวนฟรี ตลอดเดือน ต.ค.นี้ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุช พัทยา พร้อมด้วย นายอนุชา อินทรศร นายอำเภอสัตหีบ และนางปิ่นนาถ เจริญผล ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพัทยา ร่วมแถลงข่าวให้ 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น ,กาฬสินธุ์ ,มุกดาหาร ,สกลนคร ,นครพนม ,บึงกาฬ ,หนองคาย ,อุดรธานี ,หนองบัวลำภู และ กรุงเทพมหานครอีก 10 เขต คือ มีนบุรี คันนายาว คลองสามวา หนอกจอก ลาดกระบัง ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ภาษีเจริญ บางแค และหนองแขม โดยมีตัวแทนจาก 9 จังหวัด และผู้แทน 10 เขต กทม. เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและยังเปิด เปิดตัวไดโนเสาร์สายพันธุ์กินเนื้อตัวใหม่ล่าสุดอีก 6 ตัว นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุช พัทยา กล่าวว่า สำหรับโครงการไทยเที่ยวไทย สวนนงนุชพัทยา 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลคือไทยเที่ยวไทยและเปิดตัวไดโนเสาร์สายพันธุ์กินเนื้อตัวใหม่ล่าสุดอีก 6 ตัว โดยใช้เวลาปั้นเพียง 86 วัน ประกอบด้วย 1. ไทแรนโนซอรัส เร๊กซ์ มีขนาด 12-13 เมตร 2. ซอร์โรเพกาแน๊กซ์ ขนาด 12 -14 เมตร 3. อโครคานโทซอรัส ขนาด 12-14 เมตร 4. จิกาโนโทซอรัส ขนาด 14-15 เมตร 5. คาร์คาโรดอนโทซอรัส ขนาด 13-14 เมตร 6. สไปโนซอรัส ขนาด 16-18 เมตร เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้กับพี่น้องในพื้นที่ 9 จังหวัด และ 10 เขต กทม. ทั้งนี้สวนนงนุชพัทยา 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก ปัจจุบันได้สร้างแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่หนึ่งเดียวที่สุดในโลก ทั้ง สวนลอยฟ้า Dinosaur ไทย 12 ชนิด ภาพวาดจากหิน การนั่งรถชมเนิร์สเซอร์รี่ตะบองเพชร, สับปะรดสี, สวนชวนชม ,สวนกระถาง,โกสน,หมากผู้หมากเมีย และสวนปาล์ม เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
เกาะสิมิลัน จ.พังงา เป็นหมู่เกาะทั้งหมด 9 เกาะ ด้วยกัน ตามชื่อ "สิมิลัน" อันแปลว่า "9" .... เกาะทั้ง 9 ที่เรียงตัวไปบนทะเลสีคราม นับเป็นเพ็ชรเม็ดงามของท้องทะเลอันดามัน การเที่ยวเกาะสิมิลันซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาตินั้น เปิดให้เข้าชมระหว่าง 15 ตุลาคม - 15 พฤษภาคม ของทุกเท่านั้น บางเกาะอนุรักษ์เพื่อให้เป็นจุดวางไข่ของเต่าทะเล เราสามารถขึ้นไปยังเกาะสี่ หรือ เกาะเมี่ยง และ เกาะแปด หรือ เกาะสิมิลัน อันมีหินเรือใบเป็นสัญลักษณ์ ด้วยหาดทรายขาวละเอียดดังแป้ง (Powder Sand) และ น้ำทะเลสีฟ้าใส ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังเกาะแห่งนี้
ปีนี้ เกาะสิมิลัน ปิดมานานกว่าทุกปี และ ไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติจากสถานการณ์ COVID-19 การเปิดให้ชมอีกครั้งในวันที่ 15 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่จะได้ชมเกาะสิมิลัน ได้สวยกว่าปีไหนๆ ซึ่งหลายๆ คนก็คงจะเตรียมตัวจองทัวร์ไปเที่ยวเกาะสิมิลันกันแล้ว วันนี้ Sanook Travel มีโปรโมชันดีๆ มาบอกกับโปร 9.9 ครบรอบ 12 ปี ของ Fantastic Similan Travel ให้คนไทยได้เที่ยวเกาะสิมิลันในราคาพิเศษกว่าใคร รายละเอียดโปรโมชั่น - รับสิทธิ์ราคาพิเศษเพียง 99 สิทธิ์การจองแรกเท่านั้น สำหรับเพจ Hello Phang-Nga - เดย์ทริปเกาะสิมิลัน แบบ ไปเช้า-เย็นกลับ สำหรับ ผู้ใหญ่ 1,499-/ท่าน | เด็ก (4-11ขวบ) 999-/ท่าน - ฟรี Relax Set : ตะกร้า ผ้าขนหนู เสื่อ สำหรับการพักผ่อนในระหว่างอยู่บนเกาะ - สามารถซื้อ Voucher โดยยังไม่ระบุวันเดินทางได้ และ แจ้งวันก่อนเดินทางอย่างน้อย 7 วัน - ราคานี้รวม อาหารเช้า | อาหารเที่ยง | ค่าธรรมเนียมอุทยาน | ประกันอุบัติเหตุ | อุปกรณ์ดำน้ำ | ไกด์ท้องถิ่น | อาหารและเครื่องดื่ม เงื่อนไขอื่นๆ - ราคานี้ไม่รวมบริการรถรับ-ส่ง ระหว่างที่พัก-ท่าเรือ ต้องการรถรับ - ส่ง จ.ภูเก็ต เพิ่ม 300 บาท/ท่าน ต้องการรถรับ - ส่ง จ.พังงา เพิ่ม 200 บาท/ท่าน ต้องการรถรับ - ส่ง แบบ "ส่วนตัว" กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ - ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (หากต้องการใบกำกับภาษี รบกวนแจ้งก่อนทำการจอง) - ราคานี้จองได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 63 นี้ เท่านั้น หรือ จนกว่าสิทธิ์จะหมด - สามารถใช้สิทธิ์เดินทางได้ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 63 - 15 พฤษภาคม 64 - ราคานี้เฉพาะ คนไทย เท่านั้น (ชาวต่างชาติมีค่าธรรมเนียมอุทยานเพิ่ม 500 บาท) - ชำระเงินเต็มจำนวน ตามจำนวนคนที่เดินทาง และ สงวนสิทธิ์การคืนเงินทุกกรณี - ทาง Fantastic Similan travel ให้บริการทริปเกาะสิมิลัน เฉพาะวัน เสาร์ - อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวัน และ ต้องยื่นเอกสาร สำเนาบัตรประชาชนเพื่อจองตั๋วกับทางอุทยานฯ ก่อนเดินทาง ให้กับทางบริษัททัวร์ก่อนเดินทางเท่านั้น การจอง - ติดต่อจองผ่านทาง Inbox >>> m.me/Fantasticsimilan - โทร. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม >>> 061-3851000 - Line Id : 0613851000 ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook, Peeranut P. ถ้าพูดถึงหนึ่งใน สถานที่ขอหวย ชื่อดังที่กำลังเป็นกระแสก็ต้องยกให้ ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช กุมารศักดิ์สิทธิ์แห่งภาคใต้ที่มีนักเสี่ยงโชคมากมายพากันมาไหว้ขอพรและถูกหวยกันมานักต่อนัก บอกเลยว่าคนชอบเล่นหวยทั้งหลายต้องไม่พลาด ลงใต้ไปไหว้ไอ้ไข่กันให้ได้สักครั้ง! และวันนี้พี่เห็ด มัชรูมทราเวล ก็จะชวนไป ทำความรู้จักประวัติและตำนานของ ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ พร้อม วิธีไหว้ ยังไง ให้สมหวัง…! ประวัติ ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช เปิดความขลังของ ไอ้ไข่ เด็กชายรูปไม้แกะสลักอายุประมาณ 9-10 ขวบ แห่งวัดเจดีย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดไอ้ไข่ อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไอ้ไข่เป็นเด็กที่ได้ติดตาม หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งปักษ์ใต้ ซึ่งท่านได้เดินธุดงค์ไปกรุงศรีอยุธยาและมาปักกลดในบริเวณที่เป็นวัดปัจจุบันเพื่อจะรอพบชาวบ้านที่จะมาศึกษาพระธรรม ด้วยจิตของหลวงปู่ทวดท่านได้รู้ว่าในภายภาคหน้าสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่สำคัญในพุทธศาสนา ท่านจึงบอกให้ ไอ้ไข่ เด็กที่มาด้วยกันว่าให้อยู่ที่นี่เพื่อเป็นหลักชัยในทางธรรมกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งไอ้ไข่ก็รับปากและตั้งสัตย์ว่าจะอยู่ที่นี่ หลวงปู่ทวดได้ฝากไอ้ไข่กับพระอาจารย์ให้เป็นเด็กวัดและคอยดูแลรับใช้ ซึ่งไอ้ไข่เองก็ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ในต่อมาไอ้ไข่รับรู้ได้ว่าหลวงปู่ทวดกำลังเดินทางกลับจากกรุงศรีอยุธยา และกลัวว่าท่านจะมาพาตนไปจากวัดนี้ ไอ้ไข่จึงได้ตัดสินใจเดินลงสระน้ำเป็นการปลดชีวิตเพื่อให้ดวงวิญญาณของตนอยู่ที่นี่ตามสัจจะที่วางไว้ ส่วนความเป็นมาของรูปแกะสลัก ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ สืบเนื่องมาจาก ทวดเที่ยง หรือ ผู้ใหญ่เที่ยง เมืองอินทร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมขมังเวทย์ผู้มีฉายาว่า เที่ยง หักเหล็ก เพราะมีอาคมแก่กล้า สามารถหักเหล็กเด็ดตะปูได้ ท่านรับรู้และสัมผัสได้ว่ามีดวงวิญญาณเด็กมาวิ่งเล่นในลานวัดอยู่เสมอ จึงได้นำไม้ทองหลางมาแกะสลักเป็นรูปเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณเด็กให้มาสถิตย์ และตั้งไว้ให้คนมากราบไหว้บูชา แต่ในต่อมารูปไม้แกะสลักก็ได้ผุพังไปตามกาลเวลา และท่านทวดเที่ยงก็ได้ฝันว่า ไอ้ไข่มาบอกให้ท่านแกะสลักรูปให้ใหม่อีกครั้ง ท่านจึงได้แกะสลักไม้ตะเคียนเป็นรูปไอ้ไข่ขึ้นมาอีกองค์ ทำให้ชื่อของไอ้ไข่เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนชื่อเรียก “ไอ้ไข่” เป็นคำเรียกตามภาษาในสมัยก่อนที่ใช้เรียกเด็กหรือเพื่อนฝูงที่สนิทกัน แต่บางคนอาจจะกลัวว่า คำว่า ไอ้ ฟังแล้วไม่สุภาพ บวกกับประวัติความเป็นมาที่มีมายาวนาน จึงเรียกกันอีกชื่อว่า ตาไข่ นั่นเอง ความศักดิ์สิทธิ์ของไอ้ไข่ ชาวบ้านในละแวกนั้นเชื่อกันว่า ไอ้ไข่ เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษาและเป็นที่เคารพนับถือกันมาก หากใครมาค้างแรมในบริเวณนั้นโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวไอ้ไข่ก่อนก็จะโดนแกล้งหรือรบกวนไปตลอดคืน ซึ่งในสมัยก่อนเชื่อกันว่าถ้าใครมีเรื่องเดือดร้อน เช่น วัว ควาย หมู หรือข้าวของสูญหาย ให้มาจุดธูปบนบานกับไอ้ไข่ให้ช่วยหา และแก้บนด้วยหนังสติ๊กกับลูกประทัด ของที่หายก็จะได้คืนเสมอ ส่วนในปัจจุบันคนก็มักจะมาขอพรในเรื่องการงาน การค้าขาย และเรื่องโชคลาภ มีนักเสี่ยงโชคมาไหว้และถูกหวยกันเป็นประจำ เห็นได้จากภายในวัดที่เต็มไปด้วยบรรดาของแก้บนที่ผู้คนนำมาถวายหลังจากได้ในสิ่งที่ขอ รวมถึงเศษประทัดที่กองสูงเป็นภูเขาเลยทีเดียว ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ ชอบอะไร ตามคำบอกเล่าของลูกศิษย์วัดเจดีย์ สิ่งที่ไอ้ไข่ชอบและผู้คนจะนำมาถวายเป็นการแก้บนก็มีหลายอย่าง เช่น น้ำแดง ขนมเปี๊ยะ ไข่ต้ม หนังสติ๊กและของเล่นเด็ก ชุดทหารสำหรับเด็ก ไปจนถึง ไก่ปูนปั้นขนาดต่างๆ ที่คนจะนำมาถวายเป็นการแก้บน รวมถึง การจุดประทัดตามจำนวนนัดที่บนไว้ วิธีการไหว้ ไอ้ไข่ มาถึงตรงนี้มีใครสนใจอยากจะไปไหว้ขอพรกันแล้วมั้ยเอ่ย พี่เห็ดมี วิธีไหว้ ไอ้ไข่ มาแนะนำ โดยเมื่อเราเข้าไปในวัดจะมีจุดไหว้พระและไหว้รูปปั้นไอ้ไข่ ให้เรานำชุดไหว้ที่ประกอบไปด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน และทองแผ่นมาบูชา ถ้าไหว้พระรัตนตรัยให้จุดธูป 3 ดอก แต่ถ้าเป็นการแก้บนไอ้ไข่ให้จุดธูป 1 ดอก จากนั้นนำดอกไม้มาถวายพระที่จุดวาง แล้วนำแผ่นทอง 5 แผ่นไปปิดตามจุดต่างๆ ได้แก่ แผ่นที่ 1 ปิดที่องค์ตาไข่ เด็กวัดเจดีย์ แผ่นที่ 2 ปิดพระประจำวันเกิดของเรา แผ่นที่ 3 ปิดลูกนิมิตรพระอุโบสถ แผ่นที่ 4 ปิดใบเสมาพระอุโบสถ แผ่นที่ 5 ปิดหลวงพ่อเพชร พระประธานอุโบสถวัดเจดีย์ และนี่ก็เป็นตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ ที่เล่าขานกันมานาน รวมถึงยังมีผู้คนไปกราบไหว้และขอพรจนประสบความสำเร็จกันมากมาย ถ้าใครมีโอกาสก็ลงใต้ไปไหว้กันให้ได้สักครั้งนะคะ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Mushroom Travel
เพชรบุรี เมืองท่องเที่ยวที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเขาวัง ชายหาดชะอำ หาดเจ้าสำราญ เป็นต้น แต่นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวที่กล่าวมาแล้ว ที่จริงเมืองเพชรนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่น่าสนใจซุกซ่อนอยู่ด้วย โดยในวันนี้ จะพาทุกคนไปชมกันกับอันซีนแห่งเมืองเพชร คีรี มณี ประดู่ 3 หมู่บ้านท่องเที่ยวกลางหุบเขาที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นมาก่อน คีรี มณี ประดู่ในที่นี้เป็นชื่อย่อของ 3 ชุมชนที่มีพื้นที่ติดกันในแถบอำเภอเขาย้อยได้แก่ ชุมชนคีรีวงศ์ ชุมชนมณีเลื่อน และชุมชนหนองประดู่ ซึ่งได้ร่วมมือกันเปิดการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อความยั่งยืนของการท่องเที่ยว เนื่องจากทั้ง 3 ชุมชนนี้มีทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ร่วมกัน รวมไปถึงวัฒนธรรมไททรงดำที่ฝังลึกอยู่ในรากเหง้าของทั้ง 3 ชุมชนด้วย โดยการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้เราจะใช้บริการรถนำเที่ยวของทั้ง 3 ชุมชนในการทัวร์หมู่บ้าน โดยระหว่างทางที่นั่งรถนั้น เราจะได้พบกับความงดงามของธรรมชาติในช่วงหน้าฝน ทุ่งนาที่เขียวขจี ทอดยาวไปจรดตีนเขา เป็นบรรยากาศที่มองแล้วสบายตาดีจริงๆ โดยจุดแรกที่เราจะได้ไปกันวันนี้คือฐานการทอผ้าไทยทรงดำของหมู่บ้านมณีเลื่อน เรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวไทยทรงดำ รวมไปถึงการได้ลองทำพวงกุญแจเต่าของดีจากบ้านมณีเลื่อน ด้วยฝีมือตัวเองอีกด้วย หลังจากนั้นไปเที่ยวกันต่อที่วัดคีรีวงศ์ วัดสวยสุดอันซีนที่ตั้งอยุ่บริเวณตีนเขาอีโก้ วัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่ทำให้เราประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะบรรยากาศที่เงียบสงบและวิวธรรมชาติที่งดงามราวกับตั้งอยู่กึ่งกลางหุบเขา แต่กลับไร้ผู้คนเดินทางมาเที่ยวที่นี่เลย ภายในวัดจะมีพระประธานองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับภูเขา นามว่า “พระพุทธวัชรมงคล” หรือ หลวงพ่อโต ที่ได้รับพระราชทานนามศักดิ์สิทธิ์จากในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านคีรีวงศ์เลยก็ว่าได้ ชมวิวถ่ายภาพเก็บบรรยากาศรอบๆ บริเวณวัดคีรีวงศ์แห่งนี้กันได้แบบเพลินๆ เป็นวิวภูเขาที่ควรค่าแก่การมาเยือนจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพชรบุรีจะมีวิวสวยๆ แบบนี้อยู่ด้วย กลับออกมาจกาวัดคีรีวงศ์ไปเที่ยวกันต่ออย่างไม่หยุดยั้งโดยจุดหมายปลายทางต่อไปนั้นเราจะไปกันที่วัดพวงมาลัยในชุมนหนองประดู่ โดยวัดนี้เป็นอีกหนึ่งวัดที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาเช่นกัน มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินขึ้นไปได้ เป็นวัดไทย จีน เพียงแห่งเดียวในระแวกนี้ ต่อจากวัดพวงมาลัยเราไปกันที่โรงเรียนบ้านหนองประดู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวของชาวไทยทรงดำเอาไว้ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ รูปภาพสมัยก่อน และเสื้อผ้าต้นตำรับของไทยทรงดำด้วย ท่องเที่ยวกันจนเต็มที่แล้วท้องเริ่มจะหิวเราจึงไปรวมตัวกันที่บริเวณที่ทำการท่องเที่ยวชุมชน คีรี มณี ประดู่ เพื่อชมสาธิตการทำน้ำพริกพาน อาหารพื้นถิ่นที่หาทานได้ยาก พร้อมกับข้าวพื้นเมืองอีกมากมาย ให้เราได้อิ่มอร่อยแบบฟินๆ สำหรับมื้อกลางวัน และทั้งหมดนี้ก็คือโปรแกรมท่องเที่ยวแบบครึ่งวันที่หมู่บ้าน คีรี มณี ประดู่ 3 ชุมชนท่องเที่ยวที่มีความครบครันทั้งในด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ อาหารการกิน เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนที่เชื่อเลยว่าหลายคนยังไม่รู้จักแน่นอน หากใครอยากจะลองมีประสบการณ์ท่องเที่ยวชุมนแบบนี้ สามารถติดต่อไปได้ที่ - ผู้ใหญ่วิโรจน์ บุญปลูก
- หมายเลขโทรศัพท์ 08 6107 1354 ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : Sanook Travel,Peeranut P. วันหยุดที่จะถึงนี้ ใครคิดแพลนว่าจะไป เที่ยวใกล้กรุงเทพ ที่ไหนดี? ทางทีมงานมีที่เที่ยวเก๋ๆ มาแนะนำ ขอชวนทุกคนไปเยือน เมืองมัลลิกา กาญจนบุรี สถานที่ท่องเที่ยวที่จำลองบรรยากาศย้อนยุค พาทุกคุณนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ใส่ชุดไทยสวยๆ เดินเที่ยวชมบ้านเมืองแบบสมัยก่อน รับรองว่างานนี้ได้รูปสวยๆ เพียบ! ไปชมกันเลยจ้า…!! เมืองมัลลิกา กาญจนบุรี หรือ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในรูปแบบเมืองโบราณจำลอง ตั้งอยู่ตรงทางเข้าปราสาทเมืองสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ 32 กิโลเมตร ภายในพื้นที่ขนาด 60 ไร่ จะเป็นการนำเอาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสยาม บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยรัชกาลที่ 5 มาจำลองบรรยากาศให้ชม พื้นที่ภายในเมืองมัลลิกาจะมีทั้ง บ้านเรือนทรงไทย ย่านร้านค้า สะพานข้ามน้ำ หอชมเมือง และยังมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่แต่งชุดไทยโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยนั้นจริงๆ ซึ่งที่นี่ก็มีบริการชุดไทยให้เราได้แต่งกายเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศอีกด้วย เมื่อมาถึง เมืองมัลลิกา กาญจนบุรี เราจะพบกับ กำแพงเมือง ที่ใหญ่โตราวกับหลุดมาจากหนังไทยที่เราเคยดูกันเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่ไม่ควรพลาด ส่วนพื้นที่ภายในจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ ให้เราเดินเล่นเที่ยวชมบรรยากาศแบบโบราณกันได้อย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีรถลากไว้คอยบริการอยู่ทางหน้าเมืองอีกด้วย ใครไม่อยากเดินชมให้เมื่อย แนะนำว่าใช้บริการรถลากเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเป็นคุณหนูลูกผู้ดีในสมัยก่อนสุดๆ และเมื่อผ่านประตูเข้ามาด้านในก็จะเจอกับ สะพานหัน ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามสะพานแบบเก่าที่จะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งจะตรึงไว้กับที่ ส่วนอีกข้างจะสามารถจับหันไปมาเพื่อเปิดให้เรือแล่นผ่านได้ ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้สร้างใหม่เป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้ และในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนเป็นแบบ สะพานริอัลโต ที่นครเวนิช และที่ปองเตเวกคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยลักษณะเป็นสะพานไม้โค้งกว้าง สองฟากสะพานจะมีห้องแถวเล็กๆ เป็นส่วนของร้านค้า ส่วนตรงกลางเป็นทางเดิน ด้านในจะเป็นโซนย่านร้านค้าต่างๆ ที่มีทั้งของกิน เป็นอาหารและขนมไทยโบราณ ร้านขายของต่างๆ ซึ่งบางร้านก็จะทำกันแบบสดๆ ให้เห็นวิธีการทำตรงนั้นกันเลย เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ไปดูกรรมวิธีการทำในแบบโบราณก็เพลินดีเหมือนกันค่ะ เพราะในยุคปัจจุบันนั้นเราอาจจะไม่ค่อยได้พบเห็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมนี้แล้ว จุดน่าสนใจในเมืองมัลลิกา หอชมเมือง จำลองมาจากหอคอยคุก ซึ่งในสมัยก่อนใช้สำหรับตรวจตราป้องกันไม่ให้นักโทษหนี ซึ่งที่ เมืองมัลลิกา กาญจนบุรี ได้จำลองหอคอยนี้มาใช้ในการชมวิวรอบๆ บริเวณ เรือนเดี่ยว จำลองมาจากเรือนของชาวบ้านในสมัยก่อน เป็นการแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เป็นคนชนชั้นกรรมาชีพ ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก ทอผ้า และอื่นๆ เรือนคหบดี เป็นเรีอนของคนมีฐานะ แสดงวิถีชีวิตของคนชนชั้นปกครอง ซึ่งจะมีกิจกรรมบนเรือน เช่น งานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลักผลไม้ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความประณีต อีกทั้งในเรือนคหบดียังมี เรือนครัว ที่ใช้ทำอาหารเลี้ยงบ่าวไพร่ รวมถึงการประกอบอาหารเพื่อรับรองแขก เรือนแพ เป็นโซนร้านค้าริมน้ำ มีทั้งร้านกาแฟ ตงฮู ซึ่งถือเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยในยุคนั้น นอกจากนี้ในเรือนแพก็ยังมีร้านข้าวแกงอีกด้วย ใครกำลังวางแผนจะไป เที่ยวใกล้กรุงเทพ ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็สามารถไปเที่ยวที่ เมืองมัลลิกา จังหวัดกาญจนบุรี กันได้ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนในสมัยโบราณ ซึ่งบางอย่างก็ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา รวมถึงยังมีโอกาสได้ใส่ชุดไทยสวยๆ อีกด้วย รับรองว่ามาเที่ยวที่นี่ไม่มีเบื่อแน่นอน รายละเอียด เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 จ.กาญจนบุรี
– วันและเวลาให้บริการ : เปิดบริการทุกวัน 09.00 – 20.00 น. ค่าเข้าชม : – ผู้ใหญ่ 250 บาท / เด็กและผู้สูงอายุ 120 บาท – บัตรเข้าชม+ชุดไทย ผู้ใหญ่ 400 บาท / เด็กและผู้สูงอายุ 300 บาท – เด็กสูงต่ำกว่า 100 ซม. เข้าฟรี / สูงระหว่าง 100 – 130 ซม. – ราคาเด็ก / ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : Sanook ,Mushroom Travel บรรยากาศการท่องเที่ยวในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่อุทยานไทรงาม เขตเทศบาลตำบลพิมาย ต่างแห่พากันมาเที่ยวชมความสวยงามของต้นไทร ที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาเพิ่มมากขึ้น หลังมีฝนตกต่อเนื่องช่วงฤดูฝน ทำซึ่งอุทยานไทรงาม ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 25,000 ตารางฟุต อยู่ในพื้นที่ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่ง มีชื่อพื้นเมืองว่า ไทรย้อย จากการศึกษาพบว่า ไทรงามแห่งนี้เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา มาเป็นเวลากว่า 350 ปีแล้ว เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสเมืองพิมาย เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2454 และได้พระราชทานนามสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่แห่งนี้ว่า “ไทรงาม” ซึ่งนอกจากนามที่ไพเราะแล้ว ไทรงามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าประทับใจแก่ผู้พบเห็น เนื่องจากรากไทรพันกระหวัดรัดเกี่ยวกันอย่างซับซ้อนดูสวยงาม ประสานกันเป็นโครงข่ายขนาดยักษ์เชื่อมต่อกันคล้ายโครงข่ายของใยแมงมุม นับเป็นผลงานชิ้นเลิศที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติ นอกจากนี้ กิ่งก้านของไทรงามบางส่วน ยังแปรเปลี่ยนเป็นเก้าอี้นั่งให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งชมทัศนียภาพริมน้ำ ให้บรรยากาศความเงียบสงบเป็นส่วนตัว ซึ่งในช่วงฤดูฝน ต้นของไทรงามจะแตกใบอ่อนเขียวขจี รากของต้นไทรงามแผ่กิ่งก้านสาขาสวยงามมากขึ้น ภาคเอกชนจึงได้บริจาคเงิน จำนวน 3 แสนบาท ให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในอุทยานไทรงาม และปลูกต้นไม้ จัดสวนหย่อมเพิ่มเติม เพื่อสร้างจุดเช็คอินถ่ายรูปให้มีความสวยงามมากขึ้น ในแต่ละวันจึงมีประชาชน และนักท่องเที่ยว แห่เที่ยวชมอุทยานไทรงามกันเป็นจำนวนมาก ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ในพื้นที่อำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา เกิดมีฝนตกต่อเนื่องในห้วงนี้ ทำให้นาข้าวของชาวนาในพื้นที่ฟื้นกลับมาเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง สร้างสีสันและบรรยากาศที่สวยงามให้กับแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่นอย่างที่ สะพานไม้ร้อยปี ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านโคกกระชาย ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นสะพานไม้เก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่พาดผ่านทุ่งนาข้าวของชาวบ้านในพื้นที่ที่กำลงเขียวขจีเต็มท้องทุ่งเนื้อที่กว่าร้อยไร่ เป็นระยะทางยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นสะพานไม้ที่ทอดผ่านทุ่งนาข้าวได้ตลอกทั้งสายจากจุดเริ่มต้นซึ่งเป็นคันคลองส่งน้ำอยู่สูงกว่าท้องนาหลายกว่า 10 เมตร ทำให้ขณะนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมและเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึกกันทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับสะพานไม้ 100 ปีแห่งนี้เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่มีความสำคัญบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตชาวบ้านดั้งเดิม เนื่องจากเป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้สัญจรไปมาหาสู่พร้อมลำเลียงผลผลิตทางการเกษตรมาแต่ช้านานในอดีต และยังคงสภาพเช่นเดิมมานานกว่า 100 ปีแล้ว ด้วยความรักสามัคคีของชาวบ้านที่ช่วยกันดูแลรักษาและอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน จึงถือเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสำคัญและดูแลรักษามาไว้เป็นอย่างดี ด้วยความสวยงามและคุณค่าทางสังคม ประกอบกับทางชาวบ้านในพื้นที่ได้ช่วยกันปรับปรุงภูมิทัศน์ จัดจุดชมวิวถ่ายรูปเพิ่มสีสันให้กับสะพานไม้แห่งนี้อย่างสวยงามและโรแมนติก จึงทำให้สะพานไม้แห่งนี้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทุกวันนี้ ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : sanook ,Peeranut P.
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2021
Categories |